จากกรณี สภ.อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ รับแจ้งมีเหตุยิงกันตาย 4 ศพ ที่บ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านยาง ม.1 ต.บ้านยาง อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ ทราบชื่อคือ นางวันเพ็ญ เขียนเขว้า อายุ 50 ปี เจ้าบ้าน, นายสมศักดิ์ เขียนเขว้า อายุ 50 ปี, นางสุนิสา เขียนเขว้า อายุ 30ปี ลูกสาว และ นายอดุล วรรณจงคำ อายุ 30 ปี ลูกเขย ถูกยิงด้วยปืนพกสั้นขนาด 9 มม.
ผู้ก่อเหตุชื่อ นายสายชล พาลีเปรี่ยม หลบหนีมาที่สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมหลวงปู่สำเร็จรุน บ้านจมื่น ตำบลบ้านเดื่อ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ก่อนยิงตัวเองตายตามนั้น
วันที่ 3 ก.ค. 64 ทีมข่าวเดินทางมาที่โรงพยาบาลชัยภูมิ ครอบครัวผู้ตาย 4 ศพ นายกัมปนาท เขียนเขว้า ลูกชายผู้ตาย และนายสมบัติ ลือชา พี่สาวนางวันเพ็ญ เดินทางมารอรับศพ มีรถกู้ภัยของมูลนิธิธรรมรัศมีมณีรัตน์ 4 คันมารอรับศพ
จากนั้น เจ้าหน้าที่เริ่มขนศพนางวันเพ็ญออกมาศพแรก เพื่อเคลื่อนร่างไปตั้งบำเพ็ญกุศลก่อน นายสมับัติได้เดินมายกร่างของนางวันเพ็ญ และบอกว่า "กลับบ้านเรานะ เหลือใจหลาย ๆ" ส่วนนายกัมปนาทก็ร้องไห้จับร่างแม่ พูดสั้นว่า "แม่เอ้ย กลับบ้านเราเด้อ"
เจ้าหน้าที่นำร่างของ น.ส.สุนิสา ออกมาจากห้อง เพื่อเคลื่อนกลับบ้านก่อนเป็น 2 ศพแรก พร้อมกับร่างนางวันเพ็ญ นายสมบัติ พูดว่า "กลับบ้านเด้ออิหล้า" จากนั้นนายกัมปนาท น้องชายเดินมาที่ร่างของพี่สาว จับที่บริเวณศีรษะก่อนจะก้มไปกระซิบข้างหูของ น.ส.สุนิสาว่า "น้องขอโทษนะ" ขอโทษที่ปกป้องไว้ไม่ได้
หลังจากนำศพชึ้นรถกู้ภัย นายกัมปนาทและนายสมบัติได้จุดธูป 1 ดอก เพื่อเรียกวิญญาณกลับบ้าน และพูดว่า "กลับบ้านเรานะ" จากนั้นเดินไปที่ศพนางวันเพ็ญ พูดว่า "แม่กลับบ้านนะ"
จากนั้น ร่างของนายอดุลย์ เป็นร่างที่ 3 ที่ถูกนำออกมา ร่างสุดท้ายคือนายสมศักดิ์ แพทย์แจ้งว่ามีรอยกระสุนทะลุศีรษะ นายกัมปนาทเดินเข้าไปจับที่เท้าของผู้เป็นพ่อ และร้องไห้พูดว่า "พ่อ พ่อเอ้ย ดูเจ้าหน้าที่สวมชุดให้กับพ่อ" จากนั้นหลังนำร่างขึ้นรถ นายกัมปนาทจุดธูปเรียกพ่อและพี่เขยกลับบ้าน บอกว่า "กลับบ้านเฮาเด้อ กลับไปอยู่บ้านเฮา"
นายสมบัติ ลือชา พี่ชายนางวันเพ็ญ เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุตนเองทำนาอยู่กับผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 มีเจ้าหน้ากู้ภัยโทรมาบอกว่าน้องสาวตนถูกยิงตาย จึงรีบมาที่เกิดเหตุ ส่วนตัวไม่รู้เลยว่าน้องสาวมีปัญหา จนกระทั่งมาเกิดเรื่อง น้องไม่เคยเล่าเรื่องของครอบครัว แต่ส่วนตัวยอมรับว่าครอบครัวของน้องสาว และครอบครัวนายสายชลรู้จักกันมานาน จึงไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้
ส่วนตัวรู้สึกรับไม่ได้ เพราะน้องสาวและครอบครัวถูกฆ่าเหมือนหมูเหมือนหมา มันสะท้อนให้เห็นกฎหมายไทย ที่ตนเองขอในฐานะพี่ชาย ขอให้ช่วยเหลือคนจนอย่างครอบครัวตน และอยากถามว่าหากคนร้ายเป็นคนมีปัญหาทางประสาทจริง แล้วมีปืนได้อย่างไร ใครเป็นคนเซ็นอนุญาตให้ทะเบียนปืน เพราะน้องสาวตนนั่งเลี้ยงหลานไกวเปลอยู่ดี ๆ ก็ถูกยิงตาย ตนเองเสียใจมาก เมื่อคืนอยู่ที่บ้านน้องสาวทั้งคืน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ตนคิดว่าเป็นเสียงของนางวันเพ็ญ ญาติบางคนก็เห็นมีผู้หญิงใส่ชุดชมพูปรากฏที่บ้าน ทั้งนี้ ตนขอบอกให้น้องและหลาน ๆ ไม่ต้องห่วง ให้ไปสบาย
ที่วัดป่าบ้านยาง ต.บ้านยางอ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ ซึ่ สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของศพครอบครัวนายสมศักดิ์ ทั้ง 4 ราย มีการจัดเตรียมโลงศพไว้ 4 โลง ตั้งเชิงตะกอนกองฟอนอีก 4 กอง โดยดร.พิชัย เวชยานนท์ นายกเทศมนตรีตําบลเกษตรสมบูรณ์ เป็นคนรับผิดชอบดำเนินการประกอบพิธีให้
ก่อนที่ศพของทั้ง 4 จะเดินทางมาถึง มีการเจรจากันระหว่างนายกเทศมนตรี กับทางญาติของนายสมศักดิ์ เรื่องกำหนดเวลา ฌาปนกิจ ทางนายกเทศมนตรีจะให้มีการณาปนกิจศพทั้ง 4 ในคืนนี้เวลาเที่ยงคืน แต่ทางญาติของผู้ตายได้มาขอร้องว่าให้เลื่อนไปวันพรุ่งนี้ โดยให้เหตุผลว่านัดกับทางญาติที่อยู่ต่างอำเภอ ต่างจังหวัด ไว้แล้วว่าจะมีพิธีในวันพรุ่งนี้
แต่ทางนายกเทศมนตรีก็ให้เหตุผลว่าศพของผู้ตายทั้ง 4 ถ้าจะปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปถึงพรุ่งนี้ จะไม่มีคนดูแลเฝ้าศพ เพราะลูกชายของผู้ตาย ต้องมีเวลาไปดูแลเด็ก 3 คนที่รอดชีวิต อีกอย่างเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ไม่อยากให้มารวมตัวกันเยอะ ไม่อนุญาตให้คนที่มาจากพื้นที่สีแดงเดินทางมาร่วมงาน หากจะมาก็จะต้องให้กักตัวทั้งหมด
จากนั้นศพของนางวันเพ็ญ และ น.ส.สุนิสา ถูกเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลชัยภูมิ มาถึงที่วัดป่าบ้านยาง ในเวลา 11.43 น. ซึ่งการเชิญวิญญาณผู้ตายลงจากรถมาทำพิธีสะกดวิญญาณ มีนายกเทศมนตรีเป็นคนทำพิธีให้
การทำพิธีนายกเทศมนตรีได้นำสายสิญจน์มาผูกที่บริเวณศีรษะของนางวัญเพ็ญก่อน แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยกันแบกร่างนางวันเพ็ญลงจากรถ มีการนำร่างของนางวันเพ็ญไปวนที่โลงศพ 1 รอบ ก่อนจะนำร่างของนางวัญเพ็ญใส่ลงไปในโลงศพและได้ผูกสายสิญจน์ที่ร่างของนางวันเพ็ญ เป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่น ต้องผูกสายสิญจน์ที่ร่างของผู้ตายผิดธรรมชาติ 5 ประการ คอ ศอก ข้อมือ ข้อเท้า และหัวแม่เท้า
หลังจากนั้นมีการแต่งขันธ์ 5 ทำพิธีสะกดวิญญาณ ประกอบไปด้วยธูป 5 คู่ เทียน 5 คู่ และดอกไม้ 5 คู่ ส่วนดอกไม้ที่อยู่ในจานคือดอกทองพันชั่ง ส่วนข้าวเหนียวมาปั้นใส่ที่ตูดเทียน แล้วเปิดหน้าของผู้ตายออก เพื่อจุดเทียนทำพิธีสะกดวิญญาณ เสร็จสิ้นพิธีของศพนางวันเพ็ญ ก็ทำพิธีแบบเดียวกันกับศพของ น.ส.สุนิสา หลังจากนั้นก็ทำการปิดโลงศพไว้เพื่อรออีก 2 ศพ จนครบทั้งหมด
ช่วงที่ศพของนายอดุลย์มาถึง ทำพิธีเสร็จระหว่างที่กำลังจะปิดฝาโลง พ่อของนายอดุลย์บอกว่า "อย่าเพิ่งปิดฝาโลง ผมขอคุยกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย" จากนั้นพ่อของนายอดุลย์ก็ทรุดลงไปนั่งที่ข้างโลงศพของลูกชาย เกาะขอบโลงร้องไห้โฮ บอกว่า "ไม่ต้องห่วงนะลูก ลูกทำให้พ่อให้แม่ไว้หมดแล้ว เกิดชาติหน้าขอให้กลับมาเป็นพ่อลูกกันอีก"
นายสมพร วันจงธรรม พ่อของนายอดุลย์ เปิดเผยว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะว่านายอดุลย์ลูกชาย เป็นเสาหลักของครอบครัว ลูกชายได้คบหากับน.ส.สุนิสา ตั้งแต่สมัยเรียนจนแต่งงานด้วยกันมาได้ 10 ปีแล้ว หลังจากแต่งงานลูกชายและลูกสะใภ้ก็เดินทางไปหางานทำที่กรุงเทพฯ แล้วก็มีบุตรชาย 2 คน ลูกชายและลูกสะใภ้ได้ส่งกลับมาอยู่กับญาติที่บ้านหลังเกิดเหตุ
จนกระทั่งลูกชายได้ลูกสาวคนเล็ก จึงส่งลูกสะใภ้กลับมาดูแลลูก จ.ชัยภูมิ ได้ 8-9 เดือนแล้ว ส่วนลูกชายได้ลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ เดินทางกลับมาอยู่กับลูกสะใภ้ประมาณ 2-3 เดือน และก็มาเกิดเหตุเมื่อวานนี้ ก่อนจะเกิดเหตุช่วง 10.00 น ลูกชายยังโทรมาหา คุยเรื่องน้ำบาดาลที่บ้านของตน หลังจากวางสายไปประมาณ 1 ชั่วโมง ลูกสาวก็โทรมาบอกว่า "พ่อทำใจดี ๆ นะ พี่อดุลย์ ถูกยิงตายแล้ว" ซึ่งการจากไปของลูกชาย ไม่ได้มีการพูดจาร่ำลากันสักคำ
หลังจากนั้น ญาติได้นำศพของทั้ง 4 ใส่โลงเย็นที่เตรียมไว้ ศพแรกจะเป็นศพของนางวันเพ็ญ ศพที่ 2 นายสมศักดิ์ สามีภรรยาอยู่คู่กัน ถัดไปเป็นศพของ น.ส.สุนิสา และศพของนายอดุลย์ เป็นอันดับสุดท้าย จากนั้น ญาติได้จัดเตรียมสำรับกับข้าวให้กับทั้ง 4 ศพ มีข้าว น้ำดื่ม และกับข้าวจำนวน 4 อย่าง จุดธูปบอกกล่าวเรียกวิญญาณผู้ตาย
น.ส.โสรญา วรรณจงคำ อายุ 24 ปี น้องสาวของนายอดุลย์ เปิดใจว่า ตนรู้ข่าวว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ถูกยิงเพราะมีคนโทรไปบอก แต่ตอนนั้นยังไม่คิดว่าพี่ชายตาย คิดว่าถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ตนไปดูศพพี่ชายแล้วก็รับหลานกลับไปอยู่ด้วยที่บ้านในอำเภอหนองบัวแดง ส่วนตัวโทรคุยกับพี่ชายและพี่สะใภ้ทุกวันและได้คุยกันครั้งสุดท้ายก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน เพราะตนพาแม่ไปโรงพยาบาล พี่ชายโทรมาถามถึงอาการแม่แล้วก็บอกแต่ว่าจะไปหาแม่ แต่ก็ไม่ได้มา ซึ่งวันนี้แม่ที่ป่วยก็อยู่ที่บ้านตามลำพัง ไม่ได้มาร่วมพิธีงานศพของพี่ชาย ส่วนตนเรียนจบมาก็ยังไม่ได้ทำงาน เพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วยอยู่ พี่ชายเป็นเสาหลัก มีหน้าที่หาเงินมาดูแลครอบครัว
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีลางสังหรณ์ หลังจากพี่ชายเสีย เมื่อคืนเอาหลานกลับไปนอนที่บ้าน นอนกันอยู่ในบ้าน 5 คน มีตน พ่อแม่และหลานอีก 3 คน ช่วง 23.00 น. ทุ่มมีเสียงหมาหอนเกรียวกราวอยู่ที่หน้าบ้าน สักพักมีเสียงลมผัดเข้ามาที่ประตู ความรู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านเข้ามาในบ้าน แล้วก็เดินไปหาหลานสาว หลังจากนั้นหลานสาวก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุด ตนจึงเรียกพ่อไปจุดธูปให้บอกพี่ชายกับพี่สะใภ้ว่าไม่ต้องห่วง ขอให้หลานนอนก่อน พรุ่งนี้จะพาหลานไปหาที่วัด จากนั้นหลานสาวก็หยุดร้องไห้ ส่วนตัวคิดว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้คงจะห่วงลูกสาว เพราะเขาตั้งใจมีลูกสาวคนนี้มาก
"วันนี้พอมาเห็นศพตั้งเรียงกัน พี่หนูไม่กล้าดูศพพี่หนูเลย มันโหดร้ายเกินไป หนูอยากจะถามคนที่ก่อเหตุว่าจิตใจมันทำด้วยอะไร ถามว่าอยากอโหสิให้กับผู้ก่อเหตุหรือไม่ หนูก็อยากจะอโหสิให้นะ แต่สิ่งที่เขาทำมันโหดร้ายเกินไป พี่ชายของหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไมคนก่อเหตุไม่ก่อเหตุกับแค่คนที่มีเรื่องกันเท่านั้น พี่ชายไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย" หลังจากนี้ ตนจะดูแลหลานให้ดีที่สุด และแม่ด้วย ตนจะดูแลต่อไปเอง ตนจะพยายามเข้มแข็ง และต้องดำเนินชีวิตต่อไป
ทีมข่าวได้เจอกับลูก 3 คนของผู้ตาย ซึ่งปู่ของเด็กจะรับไปเลี้ยง นางสมจิตร สาลิพันธ์ุ เพื่อนบ้าน คนที่เข้าไปช่วยเหลือเด็กวัย 8 เดือน เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุตนเองไม่ได้อยู่บ้าน ตนกลับมาช่วงคนร้ายออกไปแล้ว และเห็นชาวบ้านกำลังร้องตะโกนว่า "ช่วยด้วย ๆ มีคนฆ่ากันตาย" ตนเองจึงวิ่งไปที่บ้านเกิดเหตุ เห็นนายอดุลย์ถูกยิงตายนอนหงายท้องอยู่ห้องขายของหน้าบ้านและนายสมศักดิ์ ด้วยความตกใจตนก็วิ่งออกมาตั้งสติ นึกได้ว่านางวันเพ็ญ กับ น.ส.สุนิสา หายไป จึงเข้าไปร้องตามหาในบ้าน มีเพื่อนบ้านอีกคนไปดูที่ชั้น 2 จนกระทั่งได้ยินเสียงเด็ก 8 เดือนร้องออกมาจากห้องชั้น 1 ตนเปิดประตูไป จึงพบภาพที่สลดใจ เด็กร้องอ้อแอ้ และคลาดอยู่ข้างศพ น.ส.สุนิสา ก่อนจะมาจับที่เท้าของ น.ส.สุนิสา คล้ายกับจะเรียกร่างไร้วิญญาณของแม่ ด้วยความตกใจตนเองตรงเข้าไปอุ้มเด็กออกมานอกบ้าน
ตอนนั้น ตนเองไม่ทันเห็นว่านางวันเพ็ญถูกยิงอยู่ในห้องเดียวกัน ส่วนเด็ก 2 ขวบ วิ่งออกมาหลังเกิดเหตุ ไปหาชาวบ้านอีกคน เด็กพูดว่า "เลือด ๆ" ชาวบ้านพยายามถามใครว่ายิง เด็กก็ตอบว่า "ไม่รู้ เลือดแดง ๆ" นอกจากนี้ จากการสอบถามชาวบ้านยังบอกว่า นายสายชลเข้าบ้านมายิง 3 ศพแล้ว และกำลังจะกลับออกไป แต่ได้ยินเสียง น.ส.สุนิสา ร้องอยู่ในบ้าน ทำให้คนร้ายวิ่งกลับไปปีนหน้าต่างยิง น.ส.สุนิสา ตายตามไปด้วย
ทั้งนี้ ตนเองมองว่าคนร้ายทำเกินไป น่าจะเหลือไว้ให้เลี้ยงลูกน้อยล้าง เกินกว่าเหตุ และคนร้ายไปยิงตัวตาย คิดว่าไม่สมศักดิ์ศรี มันง่ายไป น่าจะต้องรับโทษก่อน
