“ปรเมศวร์” ติง ตร.ทำคดีแหม่มอังกฤษด่วนสรุป สอบแค่พยาน กระทบ ยธ. ไทย - เพจดังโต้บิดเบือน (คลิป)

วันที่ 31 ส.ค. 61 ความคืบหน้ากรณี น.ส.ลูซี่ (นามสมมติ) หญิงสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี อ้างว่าถูกข่มขืนทางทวารหนัก ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งพลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวระบุว่าจะมีการขอศาลออกหมายจับเฟซบุ๊กเพจดัง 2 เพจ ในข้อหาผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ หนึ่งในนั้น คือ เฟซบุ๊กเพจ CSI LA (อ่าน : “บิ๊กโจ๊ก” ออกหมายจับแอดมินเพจดัง กุข่าวแหม่มอังกฤษถูกข่มขืน)

ล่าสุด แอดมินเพจ CSI LA เปิดเผยว่า ทราบเรื่องที่จะถูกออกหมายจับแล้ว ยืนยันว่าไม่กลัว เพราะข้อมูลทุกอย่างที่นำเสนอคือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าผู้เสียหายถูกล่วงละเมิดจริง พร้อมกับตั้งสมมติฐานที่วิเคราะห์จากรูปแบบการก่อเหตุ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับเหตุการณ์ในปี 2557 แอดมินเพจ CSI LA บอกว่าตนเองมีอาชีพเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต เพื่อนำมาเทียบเคียงกับปัจจุบัน และพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ลักษณะการทำงานคล้ายกับการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเมื่อดูจากรูปแบบการก่อเหตุ เขาเชื่อว่ามีความคล้ายคลึงกันมากกับคดีของฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ สาวอังกฤษที่ถูกข่มขืนและฆาตกรรมบนเกาะเต่าเมื่อ 4 ปีก่อน เพราะทั้งสองเหตุการณ์ดูมีรูปแบบที่คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์แวดล้อม รวมถึงพฤติการณ์ของคนร้าย เพราะในช่วงที่ฮันนาห์ถูกฆาตกรรมเป็นช่วงต้นสัปดาห์ และมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลเหมือนกัน นอกจากนั้น ทั้งสองคนยังถูกล่วงละเมิดทางทวารหนักเหมือนกันด้วย

ส่วนเรื่องทางคดี เพจยืนยันว่าผู้เสียหายพร้อมออกมาต่อสู้เพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง รวมถึงยืนยันว่าสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี ไม่ได้ทำประกันอะไรไว้ก่อนมาท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเธอไม่มีความจำเป็นต้องกุข่าว รวมถึงเรื่องที่คนดูแลโฮสเทลบอกว่าเธอไปมีความสัมพันธ์กับเพื่อนชื่อมาร์ติน ก็เป็นเรื่องโกหกด้วยเช่นเดียวกัน

ด้านนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด แสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวว่า การที่รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวออกมาด่วนสรุปว่ายุติการตรวจสอบนั้น เป็นเพียงการสอบสวนในเบื้องต้น แต่ถ้าอยากรู้ความจริง พยานที่สำคัญที่สุดคือผู้เสียหาย ซึ่งควรที่จะสอบปากคำผู้เสียหายก่อนแล้วจึงจะสรุป ตนอยากฝากเตือนท่านรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวสักเล็กน้อยว่า การออกมาสรุปว่าไม่มีการข่มขืน อาจส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมลดลง รวมถึงเหมือนทางการไปดิสเครดิตของอีกฝ่าย แล้วหากการดำเนินการสอบสวนค่อนข้างชัดเจนแล้วค่อยออกมาแถลงจะดีกว่า การออกมาให้ข่าวในตอนนี้ จึงคล้ายกับการออกมาปกป้องชื่อเสียงของตำรวจและความเสียหายของประเทศ ทั้งนี้ กรณีการไม่รับแจ้งความของตำรวจ หากให้พูดตามตรง จะพบว่าปัญหานี้ในบ้านเราเกิดขึ้นมาตลอด อย่างเหตุการณ์นี้ผู้เสียหายอ้างว่าถูกข่มขืนที่เกาะเต่า แต่นั่งเรือไปแจ้งความที่เกาะพงัน ซึ่งผู้เสียหายก็อาจอยู่ในอาการสะลึมสะลือแล้วเข้าแจ้งความ ประกอบกับการที่ตำรวจรับแจ้งความเฉพาะเรื่องกรณีของหาย เพื่อนำไปเครมประกัน ก็ดูที่จะเป็นไปได้มากกว่า ตนจึงอยากให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด

นอกจากนี้ การค้นหาหลักฐานตอนนี้เปรียบเหมือนการจินตนาการนึกภาพจากคำบอกเล่าของแม่ผู้เสียหาย ซึ่งยังไม่มีการสอบปากคำผู้เสียหายเลย ส่วนตัวก็อยากให้ผู้เสียหายรายนี้มาชี้จุดเกิดเหตุด้วยตนเอง ส่วนพยาน 20 กว่าปากที่สอบไปแล้วนั้น ตนมองว่าเขาอาจจะไม่เห็นตอนผู้เสียหายถูกกระทำก็เป็นได้ ซึ่งการก่อเหตุข่มขืนย่อมทำในที่ลับตาคน ฉะนั้นก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเห็นผู้ถูกกระทำถูกข่มขืน สำหรับการที่ผู้เสียหายมีพยานหลักฐานเรื่องเสื้อที่มีคราบอสุจิ ซึ่งเบื้องต้นมีมูลว่าเป็นคราบอสุจิจริง ฉะนั้นแปลว่ามีการร่วมเพศเกิดขึ้น แต่จะต้องรอผลการพิสูจน์ว่าดีเอ็นเอในคราบอสุจินั้นเป็นของใคร เป็นของคนไทยหรือไม่ ล่าสุดการออกหมายจับแอดมินเพจเฟซบุ๊ก 2 เพจ ตนอยากให้ทางการช้าลงกว่านี้สักหน่อย เรามีหน้าที่ในการชี้แจงความจริง พยายามอธิบายเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตอนนี้ก็เหมือนกับการเร่งดำเนินการทั้งที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเรื่องเกิดขึ้นจริงเท็จอย่างไร เพียงแต่มีการกล่าวอ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเสาะหาพยานหลักฐานทุกชนิดเพื่อทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม นายปรเมศวร์ ยังระบุด้วยว่า แม้ว่าที่ผ่านมาจะเคยมีคดีสาวฮ่องกงถูกคนขับสามล้อข่มขืนหน้าสวนสัตว์เขาดิน กรณีดังกล่าวทางการไทยก็สามารถพิสูจน์และชี้แจงกับทั่วโลกได้ว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งการรวบรวมพยานหลักฐานตรงนี้ให้แล้วเสร็จ จะทำให้ประเทศดูน่าเชื่อถือมากกว่า