เปิดชีวิตคุณแม่ยังสวย เอ๊ะ ศศิกานต์ หลังทิ้งวงการบันเทิง ไปปักหลักอยู่ที่ต่างประเทศ

21 มิ.ย. 64

ถึงจะห่างหายจากหน้าจอไปนาน เพื่อทำหน้าคุณแม่ลูกหนึ่งอยู่ที่ต่างแดน แต่ เอ๊ะ ศศิกานต์ ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ก็ยังสวยปิ๊ง พร้อมกับยิ้มอย่างดีใจในการที่ได้หวนคืนหน้าจออีกครั้ง ยอมรับว่าคิดถึงทั้งงาน แฟนๆ และครอบครัวที่ต้องห่างไกล พร้อมเผยการรับหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ห่างไกลบ้าน เคยมีอาการซึมเศร้าเข้ามาเหมือนกัน ส่วนจะกลับมารับงานในวงการบันเทิงหรือไม่นั้น กลับมาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

s__72925285

ถาม กี่ปีแล้วที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ย้ายไปน่าจะประมาณปี 2014 ประมาณ 7 ปีค่ะ แต่ช่วงแรกที่ไปก็ยังมีทำอะไรบ้างนะคะ ไม่ได้ถึงกับออกจากวงการบันเทิงไปเลย แต่ช่วงที่มีลูก จำได้ว่าช่วงที่ลูกเกิดมาขวบกว่าๆ ก็ยังมีไปเล่นรับเชิญอยู่นิดหน่อย เพราะว่าลูกเกิดเมืองไทย แล้วก็พอเขาเกิดมาได้สักประมาณ 3 เดือนแล้ว หลังจากนั้นเราก็พักยาวเลยค่ะ


ถาม ที่เราตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศเลยเพราะว่าอะไร

เอ๊ะ ศศิกานต์ : แต่งงานกับฝรั่งค่ะ (หัวเราะ) แต่งงานกับสามีชาวต่างชาติค่ะ เขาเป็นอเมริกัน แต่ที่ดูเขาไม่ค่อยอเมริกันเท่าไหร่ เพราะเขามิกซ์ อิตาเลียน ญี่ปุ่น ฮาวาย จีน และเพราะด้วยงานของสามีด้วยค่ะ เขาทำงานอยู่สหประชาชาติ แล้วที่ได้เจอกับเขาก็เพราะว่าเขามาทำงานที่สหประชาชาติที่เมืองไทยค่ะ พอแต่งงานก็ได้ย้ายกลับไปที่นิวยอร์กด้วยงาน พอย้ายไปได้สักหนึ่งปี เราก็ท้อง มีลูก แล้วก็ไปอยู่ที่นั่นยาวเลย


ถาม จริงๆ แล้วใจเอ๊ะมีแพลนวางไว้ไหมที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ช่วงปีแรก เอ๊ะก็ยังบินไปมาอยู่ เพราะว่าเรายังมีธุรกิจของเราอยู่ที่นี่ เราก็ยังให้ความสนใจในธุรกิจของเรา แต่พอมีลูกปุ๊บ แม่จะอยู่ที่นึง พ่อจะอยู่ที่นึง มันก็ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจไปอยู่ที่โน้นเลย แล้วเอ๊ะคิดแบบนี้ค่ะ ชีวิตของเราเดินถอยหลังลงไปเรื่อยๆ แต่สำหรับชีวิตของลูกเพิ่งเริ่ม เพราะฉะนั้นเราเลยอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา การตัดสินใจทั้งหมดเลยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวของเอ๊ะเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค่ะ


ถาม แต่เห็นว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้กะเวลาผิด คือยังไง

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ขั้นตอนการขอวีซ่าให้ดอมก็มีเรื่องเยอะมาก แล้วก่อนที่จะกลับมา เราเห็นเพื่อนๆ ยังลงรูปเที่ยวที่ต่างๆ ในอินสตราแกรมแบบเบ่งบานมากๆ แต่พอเรากลับมาถึง ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ต้องบอกว่ามาตรการเปลี่ยนทุกวัน อย่างเอ๊ะฉีดวัคซีนแล้ว 7 วัน แต่ว่าลูกเอ๊ะยังเด็กอยู่ ก็ต้อง 10 วันในการกักตัว ด้วยความที่เด็กเขามีพลังเยอะมาก แล้วเขาอยู่แต่ในห้อง ยังดีที่ห้องที่เอ๊ะอยู่คือมีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงที่เราสามารถออกไปสูดอากาศได้

s__72925288

ถาม แต่การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่อลูก เพื่ออนาคตที่ดีของลูก ตอนแรกมองว่าฉันสู้ได้ แต่พอไปจริงๆ เกิดอาการซึมเศร้า เกิดอะไรขึ้น

เอ๊ะ ศศิกานต์ : การที่เราย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์ก เป็นการย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบจริงๆ จังๆ ของเราครั้งแรก แล้วพอมีลูก ก็เป็นลูกคนแรก ไหนจะให้นม ไหนจะนอนไม่พอ ทำความสะอาดบ้านอีก ทำอาหารเอง ซักรีด เราทำเองทั้งหมดเลย ไม่มีพ่อแม่พี่น้องมาอยู่ข้างๆ เราเลย มันยากมากสำหรับเรา ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ยังดีที่คุณแม่ก็ยังมีบินไปมาหาเราบ้าง ใช้ชีวิตอยู่กับเราที่โน่นช่วงหนึ่ง แต่เราก็ซึมนะคะ บางทีนั่งๆ อยู่ก็ร้องไห้ก็มี เพราะเราคิดถึงแม่


ถาม เอ๊ะเรียกว่าเป็นคุณแม่ที่สุดทุกอย่าง โดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่หยิบมือถือให้ลูกดู ตัดโซเชียลทุกอย่างออกไปเลย และจะเล่นมือถือก็ต่อเมื่อลูกหลับแล้ว ขนาดนั้นเลยเหรอ

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ไม่ถึงขนาดนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่เราทำแบบนั้นจริงๆ(หัวเราะ) จริงๆ เรื่องนี้เริ่มมาจากดอมก่อน เพราะตอนที่อยู่เมืองไทย เขาบอกกับเราว่าเขาไม่อยากได้โทรทัศน์เป็นเซ็นเตอร์ของบ้าน กลับเข้ามาในบ้าน เขาไม่อยากให้ทุกคนมานั่งดูทีวี ซึ่งตอนนั้นเราก็เถียงเขานะคะ เพราะว่าเราก็โตมากับทีวี นั่งดูทีวีร่วมกัน แต่พอเราไปต่างประเทศ เราถึงได้รู้ว่าอย่างน้อยเลยนะคะ ในสังคมของคนที่เราเจอ คือเขาก็อาจจะมีทีวีหรือบางบ้านก็ไม่ได้มีเลย เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร เพราะเราต้องการควบคุมสกรีนไทม์ให้น้อยที่สุด  เพราะมันมีผลต่อพฤติกรรมของลูกค่อนข้างมาก แล้ว ดอม เขาเป็นพวกที่อ่านหนังสือเยอะ เขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เยอะ ซึ่งการไม่มีทีวีมันก็เป็นผลที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เขาเป็นเด็กที่มีสมาธิดี แต่ถามว่าโรนิน ลูกชายไม่เคยเล่นโทรศัพท์เลยเหรอ เคยนะคะ เพราะว่าเวลาที่เราถ่ายรูปกันเขาก็เลื่อนเป็นทำอะไรเป็น ส่วนการ์ตูนเราจะให้เขาดูอาทิตย์ละ 30 นาทีค่ะ


ถาม แล้วตอนนี้พอน้องโรนินโตขึ้นแล้ว วิ่งได้เล่นได้ แต่เอ๊ะเหมือนกับว่ารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีลูกสองคน

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ดอม กับ ลูก ตอนนี้เขาเหมือนเป็นเพื่อนกันเลยค่ะ เขาจะไปปั่นจักรยานภูเขาด้วยกัน โรนินคืออึดมาก เพราะระยะทางที่ไปคือ 11 ไมล์เลย แต่เราก็ไม่ได้ไปบ่อยนะคะ เขาเป็นเด็กที่ชอบอยู่นอกบ้านด้วยค่ะ เข็นรถในบ้านคือเขาจะร้องไห้ แต่พอเข็นรถพาออกไปนอกบ้าน หยุดร้อง


ถาม ทั้งเอ๊ะและสามีเป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกมากๆ ให้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว แล้วจริงเหรอที่ 2 ปี ไม่ทำงานเลย ถามตรงๆ รายได้มาจากไหน

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ก่อนหน้าที่เราจะมีลูก เราทั้งคู่ก็ทำงานหนักมากๆ มาก่อน แล้วเราก็ไปลงทุนกับที่ดิน คอนโด กับบ้าน ซึ่งเราก็เก็บค่าเช่าไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามันเยอะมากมายเหมือนเมื่อตอนที่เราทำงานในวงการบันเทิงไหม ก็ไม่ค่ะ แต่ว่าเราก็ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง เพราะว่าอยู่ที่โน่นไม่มีใครมาสนใจว่าเราถือกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบบไหน คนรวย คนจน ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เอ๊ะ ท่านก็ไม่เข้าใจว่าตอนแรกทำงานอยู่ UN ดีๆ ลาออกทำไม เพราะสวัสดิการทุกอย่างคือดีมาก แต่อย่างที่บอกค่ะ เพื่อลูกเนอะ เรามองเห็นว่าความสำคัญของเขา ตั้งแต่ที่เขาเกิดจนถึง 5 ปี ถ้าเราไม่ได้ใกล้เขาแล้วสอนเขาดีพอ เราก็ต้องมานั่งแก้ไขเขา ถ้าเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว เราก็จะมานั่งสอนนั่งบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างที่เราบอกเราสอนเราคิดทำไมทำอีกทางอย่างที่เราไม่อยากให้ทำ เราเลยคิดว่าถ้าเราสอนเราสร้างพื้นฐานของเขาให้มันแน่น ให้มั่นคง ต่อไปมันจะดีกับเขาและเรา ถามว่าทุกวันนี้โรนินเป็นอเมริกันหรือไทย ครึ่งๆ ค่ะ พูดไทยชัดเลยค่ะ เพราะว่าตอนที่อยู่ที่โน่น มีแค่ เอ๊ะพูดไทยคนเดียวกับเขาไงคะ แต่พอกลับมาที่นี่ ภาษาไทยเบ่งบานมาก สามารถพูดได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ส่วนภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาอยู่แล้ว


ถาม เห็นน้องโรนินมาบอกว่า แม่ๆ โรนิน อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์

เอ๊ะ ศศิกานต์ : เราได้คุยกันว่าคนเราเกิดมาต้องมีต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตายนะลูก เขาเลยเริ่มกลัวว่าถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ต้องจากเขาไป เขาเลยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจะสร้างสารเคมีอะไรบางอย่างขึ้นมา เพื่อไม่ให้เราตาย สามารถย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ตลอดเวลา เขาคิดแบบนี้ด้วยความที่เขารักพ่อแม่


ถาม มีลูกชายน่ารักแบบนี้ จะมีน้องให้โรนินไหม

เอ๊ะ ศศิกานต์ : กว่าเราจะได้โรนินมาน เอ๊ะแท้งไปสองครั้ง และทำ IVF 4-5 ครั้งเลยค่ะ พยายามมากที่ได้โรนินมา เพราะว่าย้ายไปทำงานที่ฟิจิอยู่เดือนหนึ่ง แล้วก็ได้เขามาจากธรรมชาติ เราคิดว่าเขาคงเป็นไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะว่าหลังจากนั้นเราก็พยายามทำแล้ว ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

s__72925292

ถาม ได้มาเจอกันวันนี้แล้ว ต้องถามคำถามแทนใจแฟนๆ เลยว่าอยากกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไหม

เอ๊ะ ศศิกานต์ : ก็อยากนะคะ เพราะว่าโควิดเราไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ อยู่แต่ในบ้าน แล้วมันก็มีความเหงาเกิดขึ้น เราก็มาคิดว่าเราทิ้งอะไรไป งานเราทำไมเราไม่กลับมาทำ เพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้ดี


ถาม ซึ่งงานในวงการอาจจะไม่ได้มีให้เห็น แต่ที่เอ๊ะ มีให้เห็นและให้ทานเลยก็คือ ร้านอาหารเกาหลี TUDARI 19 สาขา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกัน

เอ๊ะ ศศิกานต์ : เราเปิดมา 10 ปีแล้ว ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะที่ผ่านมาจะมีทั้งช่วงดีและไม่ดีแต่สำหรับปีนี้คือโหดมากที่สุดแล้วค่ะ ก็สำหรับแฟนๆ ที่ยังคิดถึงกันอยู่ สำหรับงานในวงการ ถ้าจะเห็นเอ๊ะจริงๆ เอ๊ะคงรอลูกโตกว่านี้ก่อนนะคะ ส่วนใครที่คิดถึงกันก็แวะไปที่ร้านอาหารของเอ๊ะก่อนค่ะ

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส