กรณีเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.64 เวลา 21.00 น. ร.ต.ท ธนวัฒน์ คำภารองสว.(สอบสวน) สภ.ท่าเรือ จ.อยุธยา รับแจ้งมี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 2รายถูกอาวุธมีด จ้วงแทงอาการสาหัส จึงรายงานให้ พ.ต.อ ธีรวุฒิ แสงมณีผกก.สภ.ท่าเรือ รับทราบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยร่วมใจอยุธยา เข้าตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ หมู่ 6 ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
ถึงที่เกิดเหตุพบ น.ส.สุพรรณี จงใคร่กลาง อายุ 32 ปี อยู่ในสภาพนอนหงายจมกองเลือด อาการสาหัส มีบาดแผลถูกแทงทั่วรางกายประมาณ 20 แผล บริเวณเบ้าตาทั้ง 2 ข้างมีร่องรอยเขียวช้ำ กู้ภัยจึงช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำผู้บาดเจ็บส่งรักษาต่อที่ รพ.ท่าเรือ
นอกจากนี้ยังพบนายนัฐพล ภูหมื่น อายุ 39 ปี แฟนใหม่ของ น.ส.สุพรรณี ถูกอาวุธมีดแทงที่บริเวณหน้าท้อง 2 แผล ญาติได้นำตัวส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายสรายุทธ จงใคร่กลาง อายุ 33 ปี ชาว จ.นครราชสีมา สามีเก่าของ น.ส.สุพรรณี หลังก่อเหตุได้ขับรถยนต์กระบะสีเลือดหมูหลบหนีไป ก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวได้ในที่สุด
วันนี้ 17 มิ.ย. 64 ทีมข่าวเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณหมู่ 6 ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา บ้านจุดเกิดเหตุทางเจ้าของบ้านได้ทำความสะอาดเช็ดเลือดบริเวณที่เกิดเหตุเรียบร้อย แต่ยังคงมีร่องรอยคราบเลือดของผู้บาดเจ็บ ที่ถูกแทงกระเด็นไปติดบริเวณผ้าม่านภายในตัวบ้าน และบริเวณผ้านวม เจ้าของบ้านได้นำเอามาวางไว้ด้านหน้าบ้าน เตรียมนำไปทิ้ง
นางศันสนีย์ จักรรักษา อายุ 68 ปี ยายของผู้บาดเจ็บที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า ผู้ก่อเหตุคือเหตุเกิดวันที่ 16 มิ.ย. 64 เวลาประมาณ 19.00-20.00น. นายสรายุทธ ผู้ก่อเหตุได้ขับรถกระบะมาหา น.ส.สุพรรณ ซึ่งเป็นหลานสาวตน ที่ทำงานเป็นพนักงานแพ็คสินค้าออนไลน์ อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุกับตน เมื่อนายสรายุทธเจอ น.ส.สุพรรณ ทั้งคู่ก็ได้มีการพูดคุย และเริ่มมีปากเสียงกัน ตนจึงได้ห้ามปรามว่า "ไม่ให้มาทะเลาะกัน มันไม่ดี" เนื่องจากทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องชู้สาว และก่อนหน้านี้แยกกันอยู่ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 64 เพราะฝ่ายนายสรายุทธไปเห็น น.ส.สุพรรณ ถ่ายรูปคู่กับนายนัฐพล แฟนใหม่ลงเฟซบุ๊ก
แต่ขณะนั้น นายสรายุทธก็ไม่ยอมฟัง ยังคงทะเลาะและลาก น.ส.สุพรรณี ไปตบตีกับอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน ในขณะที่ตนและน้องกำลังนั่งแพ็คสินค้าอยู่ภายในบ้าน เวลาผ่านไปสักพัก น.ส.สุพรรณี ได้เดินหนีนายสรายุทธเข้ามาภายในบ้าน ทำให้นายสรายุทธเดินตามเข้ามา พร้อมใช้อาวุธมีดพกสั้นปลายยาว ขนาด 9 นิ้ว ที่เตรียมมาจ้วงแทงไปที่ น.ส.สุพรรณี จนล้มลงมาทับตนที่นั่งอยู่ อีกทั้งนายสรายุธ ยังไม่ยอมหยุด และเดินตรงมาขึ้นคร่อมร่าง น.ส.สุพรรณี และใช้มีดจ้วงแทงที่ร่างกายไม่ยั้งเจ็บสาหัสกว่า 20 แผล
ซึ่งขณะเดียวกัน นายนัฐพล แฟนใหม่ของ น.ส.สุพรรณีที่มาหา น.ส.สุพรรณี เช่นกัน เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี จึงถูกนายสรายุทธ ใช้อาวุธมีดแทงที่ร่างกายด้วยอีกรายจำนวน 2 แผล ก่อนเจ้าตัวจะขับรถหลบหนีไป ขณะนั้นตนยอมรับว่า ตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พยายาคลานหนีออกมา แต่เนื่องจากร่างของ น.ส.สุพรรณี ล้มทับตนเองอยู่ น้องชายจึงพยายามมาลากตนเองออก ก่อนโทรแจ้งตำรวจให้มายังที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสกัดจับนายสรายุทธไว้ได้ พร้อมของกลางเป็นอาวุธมีด ก่อนควบคุมตัวไปสอบถามปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.ท่าเรือ
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากไม่คิดว่าจะมาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนเรื่องผู้ก่อเหตุก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย
นายฉลวย จงใคร่กลาง อายุ 57 ปี พ่อผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ปกติแล้วลูกชายของตนเป็นคนดี ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใคร โดยลูกชายของตนคบหาดูใจกับลูกสะใภ้ และจดทะเบียนสมรสกันมานาน 5-6 ปี ช่วงหลังตนมักจะเห็นลูกสะใภ้มีปากเสียงทะเลาะกับลูกชายอยู่บ่อยครั้ง เรื่องปมชู้สาว ซึ่งจากการสอบถามลูกชายทราบว่า ลูกชายจับได้ว่าลูกสะใภ้คุยกับชายอื่น โดยลูกชายไปพบรูปภาพที่ลูกสะใภ้ถ่ายกับชายอื่น จึงเป็นเหตุให้ทั้งคู่มีปากเสียงทะเลาะกัน
ซึ่งก่อนเกิดเหตุ ลูกชายได้เก็บเสื้อผ้าย้ายออกจากบ้านที่อาศัยอยู่กับลูกสะใภ้ไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากทนไม่ได้ กระทั่งตนมาทราบเรื่องอีกที่ จากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าลูกชายไปก่อเหตุดังกล่าว ทั้งนี้ ในฐานะคนเป็นพ่อก็เข้าใจในตัวลูกชายว่าคงอดกลั้นไม่ไหว ที่เห็นลูกสะใภ้มีชายอื่น เลยลงมือก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งในวันนี้ที่ตนเดินทางมาเยี่ยมลูกที่โรงพัก ก็พบว่าลูกชายอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ และต้องการจะให้ตนช่วยเหลือในเรื่องการประกันตัว ในขณะนี้ตนก็พยายามหาทุนทรัพย์มาช่วยเหลือลูกทางด้านคดีความ
อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุการที่เกิดขึ้น ในฐานะพ่อของผู้ก่อเหตุ ก็อยากจะกล่าวคำขอโทษกับครอบครัวของผู้บาดเจ็บ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้น
เบื่องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงแจ้งข้อกล่าวหานายสรายุทธในความผิดฐาน พยายามฆ่า พกพาอาวุธมีดไปในเมืองและหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
