กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก “สมาคมกู้ภัย วี.อาร์.กู้ภัยมิตรภาพเมืองพล” โพสต์ภาพนิ่งพร้อมข้อความระบุว่า “12-06-64 เวลา 22.33 น. สมาคม วี.อาร์.กู้ภัยมิตรภาพเมืองพล รับแจ้งเหตุ บุคคลถูกทำร้ายร่างกาย ด้วยอาวุธมีด บริเวณบ้านหัวสะพาน ต.โจดหนองแก อ.พล จ.ขอนแก่น ออกตรวจสอบที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 1 ราย ทางสมาคม วี.อาร์.กู้ภัยมิตรภาพเมืองพล ขอแสดงความเสียใจกับทางญาติผู้เสียชีวิตด้วยครับ”
ทั้งนี้ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตภายหลัง น.ส.ดวล หรือ กรณ์นวนพรรษ นาไพรวัน อายุ 46 ปี มีแผลถูกแทงที่ลับ 2 แผล มีดฟันแขนซ้าย 1 แผลเกือบขาด และในที่เกิดเหตุยังมีนายพาส อบต.หนองแวงนาเบ้า อายุ 60 ปี แฟนใหม่ที่เพิ่งคบหากันไม่ถึง 1 ปี ส่วนผู้ก่อเกตุนายพร หรือ นายสมพร ศรีเกตุ อายุ 42 ปี อดีตแฟนเก่าที่คบหากันมานานกว่า 10 ปี แต่ได้เลิกรากันได้ 3 ปีแล้ว
ล่าสุดวันที่ 13 มิ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางย้อนกลับไปที่บ้านจุดเกิดเหตุ ลักษณะบ้านเป็นปูนชั้นเดียว มีรั้วรอบขอบชิด หน้าบ้านเปิดเป็นร้านขายชา-กาแฟในหมู่บ้าน ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 10 ต.โจดหนองแจง อ.พล จ.ขอนแก่น ทีมข่าวได้พบกับ นางปอน นาไพรวัน ป้าของผู้เสียชีวิต พาทีมข่าวเข้าไปภายในบ้านจุดเกิดเหตุ ซึ่งภายในบ้านได้ทำความสะอาดกองเลือดเรียบร้อยแล้ว แต่บริเวณหน้าต่างห้องนอนยังคงเปิดทิ้งเอาไว้ และสังเกตว่าบริเวณนอกหน้าต่างที่เป็นผนัง พบร่องรอยเท้าของนายพร ขณะที่เข้าไปก่อเหตุ ซึ่งบริเวณโดยรอบบ้านไม่มีกล้องวงจรปิดติด
นางปอน กล่าวว่า คืนวันเกิดเหตุ เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) เวลาประมาณ 19.00 น. ตนนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน ขณะนั้นหลานสาวได้ไปอาบน้ำนุ่งผ้าเช็ดตัวกระโจมอก มานั่งดูทีวีกับตน ไม่นานนายพาส แฟนใหม่ที่คบหากันก็เข้ามาที่บ้าน มานั่งดูทีวีพร้อมกัน 3 คน สักพักหลายสาวลุกขึ้นเข้าไปในห้องนอน เพื่อที่จะเปลี่บนเสื้อผ้า นายพาส ก็ลุกตามไป หลังจากปิดประตูห้องนอน ตนได้ยินเสียงคนต่อสู้กัน จึงได้ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นนายพาส ก็วิ่งออกมาจากห้องด้วยหน้าตาตื่น บอกว่ามีคนฟันที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บ ตนก็ได้เข้าไปดูในที่เกิดเหตุก็พบว่า นายพร อดีตแฟนเก่าหลานสาวอยู่ในห้องนอน
ขณะนั้นนายพรได้พูดว่า “ถ้ากูไม่ได้ พวกมึงก็ไม่ได้” ก่อนจะฟันที่บริเวณแขนซ้ายของหลานสาวตนจนเป็นแผลเกือบขาด และจังหวะที่หลานสาวกำลังหันหลังจะวิ่งหนีถูกนายพรแทงเข้าด้านหลังอีก 2 แผล กระทั่งหลานสาวล้มลงนอนจมกองเลือด และนายพร ก็ได้หยิบเอากระเป๋าเงินและทรัพย์สินของหลานสาววิ่งออกจากบ้าน ปีนรั้วไปที่รถมอเตอร์ไชค์ที่จอดอยู่ข้างนอก แล้วขี่หลบหนีไป
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่าหากย้อนกลับไปช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ ตนไม่ได้ยินเสียงคนงัดหน้าต่างห้องนอนของหลานสาว เนื่องจากหน้าต่างห้องที่เกิดเหตุมีลักษณะเป็นบานมุ้งลวดไม่ได้ปิดกระจก และไม่ได้ใส่ลูกกรงเหล็กดัด ทำให้ผู้ก่อเหตุแอบปีนหน้าต่างเข้ามา ก่อนที่หลานสาวและนายพาส จะเข้าไปภายในห้องนอน นายพรจึงลงมือก่อเหตุดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลานสาวของตนเคยคบหาและอยู่กินกับผู้ก่อเหตุกว่า 10 ปี อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา แต่ไม่ได้การแต่งงานกัน ซึ่งตลอดที่คบหากันยอมรับว่าหลานสาวถูกทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง เพราะนายพรเป็นคนที่ติดเหล้า และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทำให้มีอารมณ์รุนแรง ไม่พอใจก็จะก่อเหตุทำร้ายหลานสาว ด้วยเหตุที่นายพรเป็นคนอารมณ์ร้อน จึงทำให้หลานสาวตัดสินใจที่จะแยกทาง โดยทั้งคู่เลิกรากันไปนานกว่า 3 ปี แต่นายพรก็ยังจะตามง้อขอคืนดีบ่อยครั้ง
โดยก่อนที่หลานสาวจะถูกฆ่าตาย เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน นายพรได้มาพังร้านขายชา-กาแฟที่หน้าบ้าน ทำร้ายร่างกาย ทุบตี เพราะมาง้อขอคืนดีแต่หลานสาวไม่ยอม จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายพร ในข้อหาทำลายทรัพย์ผู้อื่น และเมื่อเดือน พ.ค.64 นายพร ยังบุกมาที่ร้านชา-กาแฟ กระทืบหลานสาวจนสลบและนำตัวส่งโรงพยาบาลนอนพักรักษาตัว 2 คืน
หลังออกโรงพยาบาลกลับมาพักที่บ้าน นายพรทราบข่าวว่า จึงย้อนกลับมาทำร้าย โดยนำอาวุธปืนมาจี้ พาขึ้นรถมอเตอร์ไชค์ไปกักขัง 3 วัน ที่ต.น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ห่างจากบ้านที่ฉุดตัวไป 98 กิโลเมตร แต่หลานสาวไหวตัวทันหนีออกมาได้ จึงได้แจ้งความเอาผิดนายพร ในข้อหาทำร้ายร่างกาย เจ็บสาหัส ขืนใจผู้อื่น และกักขังหน่วงเหนี่ยว กระทั่งล่าสุดนายพร ปีนหน้าต่างห้องนอนมาดักรอ แล้วทำร้ายร่างกายหลายนสาวจนถึงแก่ความตาย
ส่วนตัวในฐานะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ยอมรับว่าที่บ้านไม่ได้มีใครที่จะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินได้ เนื่องจากตนก็เป็นเพียงคนพิการจากอุบัติเหตุถูกรถชน กระดูกทับเส้นประสาท แต่ถ้าตนเป็นคนปกติเหตุการณ์เมื่อคืนก็คงต้องมีการต่อสู้หรือตายกันไปข้างหนึ่ง ตนก็คงไม่ยอมให้หลานสาวถูกแทงเพียงคนเดียว คงจะใช้มีดต่อสู้และไล่แทงนายพร แต่ก็โชคดีที่นายพรไม่ทำร้ายตน หากนายพรเลือกที่จะแทงทุกคนไม่ยั้ง ตนก็คงนอนตายเป็นศพอยู่ภายในบ้านร่วมกับหลานเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่วัดป่าโจดหนองแจง อ.พล จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านแม่ของน.ส.ดวล สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ โดยบรรยากาศภายในศาลามีญาติพี่น้องฝั่งของคนตายเดินทางมาร่วมงาน แต่ไม่พบเห็นฝั่งของคนก่อเหตุ และฝั่งของแฟนใหม่เดินทางมาร่วมงานแต่อย่างใด โดยบรรยากาศยังคงเป็นไปด้วยความโศกเศร้า และจะมีพิธีฌาปนกิจศพในวันพรุ่งนี้ (14 มิ.ย.)
นางบิน นาไพรวัน แม่ของคนตาย กล่าวว่า ครอบครัวของตนรับรู้ว่าลูกสาวคบหากับนายพร แต่ก็ไม่ได้ตบแต่งอะไรกัน ซึ่งคบหากันมานานกว่า 10 ปี และเลิกรากันไปแล้ว 3 ปี แต่หลังจากที่เลิกรากันแล้ว ฝั่งของนายพรก็ยังตามง้อขอคืนดี ช่วงระยะหลังลูกสาวก็ไม่อยากจะกลับไปพูดคุยอะไรด้วย เพราะมีหลายเรื่องที่ลูกสาวทนพฤติกรรมของนายพรไม่ไหว
แต่ช่วงที่ลูกสาวยังไม่เลิกกับนายพร ตนพยายามสอบถามเกี่ยวกับรอยเขียวช้ำบริเวณใบหน้าและตามลำตัว ลูกสาวไม่เคยบอกว่าโดนนายพรทำร้าย ยอมรับว่าลูกสาวเป็นคนปากแข็ง และเก็บความรู้สึกความเจ็บปวดเอาไว้อยู่ในใจ ไม่ยอมแม้แต่จะบอกให้ตนรับรู้ กระทั่งวันที่เลิกรากันจึงรู้ว่าที่ผ่านมาถูกนายพร ทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด
อีกทั้งตนก็ยังมาเจอพฤติกรรมของนายพร หลังจากที่เลิกกันแล้ว หนักสุดนายพรประกาศว่า หากน.ส.ดวล ไม่ยอมขึ้นรถออกไปพร้อมกัน จะฆ่าป้า พ่อ แม่ คนในครอบครัวตายให้หมด หลังจากนั้นก็ใช้ปืนจี้บังคับให้ลูกสาวขึ้นรถไปด้วย แต่ก็โชคดีที่ลูกสาวไหวตัวได้หนีกลับบ้านมาได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงในวันนั้นลูกสาวจะถูกฆ่าตายในวันนี้
ส่วนกรณีแฟนใหม่ของลูกสาว ตนยอมรับว่าไม่รู้ว่าคบหากับใคร แต่ก็เชื่อว่าเป็นเพียงแค่คนที่เข้ามาพูดคุยและดูแลกัน คงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทั้งนี้หลังจากที่นายพรก่อเหตุ ตนยังไม่รู้ว่าเขาหลบหนีไปอยู่ที่ไหน แต่ก็ได้ติดต่อไปยังญาติของนายพร ที่อยู่ในต.น้ำพอง โดยญาติบอกว่าเป็นคนไม่มีพ่อแม่ และญาติพี่น้องทุกคนก็เอื้อมระอา เนื่องจากทนกับพฤติกรรมของนายพรไม่ได้ โดยนายพรได้ไปสร้างกระต๊อบอาศัยอยู่กลางทุ่งนา และไม่ได้ติดต่อญาติแต่อย่างใด และทางญาติผู้ก่อเหตุ ได้บอกต่ออีกว่า อยากจะให้ดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด “ถ้าหากไม่มอบตัวก็ขอให้คนร้ายไปผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในครอบครัวอีก”
อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะแม่ของคนตาย ก็ฝากบอกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่ต้องทำแผนประกอบรับคำสารภาพ เพราะครอบครัวฝั่งของตนมีญาติพี่น้องหลายคนที่ไม่พอใจ หากมีการทำแผนกลัวว่าจะโดนทำร้าย ดังนั้นก็ให้ยอมรับผิด และดำเนินคดีตามกฎหมายติดคุก หรือถูกประหารตามลูกสาวให้ตายตามกันไป
จากนั้น ทีมข่าวเดินทางไปที่ต.หนองแวงนาเบ้า อ.พล จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของนายพาส อบต.หนองแวงนาเบ้า อายุ 60 ปี ซึ่งเจ้าตัวก็ถูกนายสมพร ทำร้ายร่างกายและมีแผลถูกฟันที่กลางศีรษะ เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.พล จ.ขอนแก่น
นางสร้อย นางคำ น้องสาวของนายพาส เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) ตอนเกิดเหตุนายพาส อ้างว่าออกไปเถียงนา กระทั่งกลับมาถึงบ้านตนสังเกตว่าบริเวณศีรษะของนายพาส มีการโพกหัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีการสอบถาม และพี่ชายก็ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังแต่อย่างใด
กระทั่งมีการนำเสนอข่าว ซึ่งทางครอบครัวก็ตกใจมาก และมีตำรวจมาถามหาพี่ชาย จึงรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน ที่ผ่านมายอมรับว่านายพาสไปติดหญิงสาว ซึ่งที่บ้านก็พยายามห้ามปรามและสั่งห้ามไม่ให้ไปยุ่ง เพราะฝั่งของน.ส.ดวล เคยมีแฟนแล้วกลัวว่าจะเกิดเรื่อง แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปร่วมงานศพหรือไม่ เพราะนายพาสยังคงรักษาตัวอยู่
ในวันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่ หมู่ 5 ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของนายสมพร ศรีเกตุ หรือ พร ผู้ก่อเหตุ
นางพัน (นามสมมติ) พี่สะใภ้ของนายสมพร เปิดเผยว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่านายพร ไปก่อเหตุฆ่าอดีตแฟนสาว ก็ยังไม่เดินทางกลับมาที่บ้าน ซึ่งตนไม่รู้ว่าหลบหนีไปอยู่ที่ไหน และยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งนี้ทางครอบครัวก็มีความกังวลว่าเจ้าตัวจะเครียดและหนีไปผูกคอตาย ขณะนี้ก็หวังพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัว หรือเกลี้ยกล่อมให้มามอบตัวเพื่อรับโทษตามกฏหมาย
สำหรับนิสัยส่วนตัวของนายพร เป็นคนที่ไม่ค่อยอยู่ติดกลับบ้าน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่คอกวัว เพราะมีลักษณะไม่ค่อยลงรอยกับพี่ชายหรือคนในบ้าน โดยหลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว นายพรก็แยกออกไปอยู่ต่างหาก แต่ก็พอรู้ว่าคบหากับน.ส.ดวล ทั้งคู่ก็มาอยู่กินด้วยกันและช่วยกันเลี้ยงวัวตามปกติ ไม่ได้พบเห็นว่ามีการบังคับขู่เข็ญ ซึ่งหากมีการบังคับขืนใจจริง ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากตนหรือคนในครอบครัว แต่ในทางกลับกันพบว่าทั้งคู่ก็ยังรักใคร่กันดี
นางพัน บอกด้วยว่า ก่อนที่จะเกิดเหตุ มีหมายศาลในคดีทำร้ายร่างกายและทำลายทรัพย์สินผู้อื่น แต่หลังจากที่มีหมายศาลมาถึงบ้าน คนในครอบครัวก็ได้สอบถามข้อเท็จจริงจากนายสมพร เจ้าตัวก็อ้างว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด และสามารถไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่ได้ ตนก็ไม่คิดว่าหลังจากที่พบเห็นหมายศาลดังกล่าวจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้
แต่ในมุมหนึ่ง ตนก็รู้สึกสงสารนายสมพร เพราะเจ้าตัวอยู่ตัวคนเดียว ประกอบกับไม่รู้ว่าในคืนที่ไปก่อเหตุ ไปพบเจอภาพที่ไม่อยากเจอหรือไม่ ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็อยากให้ออกมามอบตัว แสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะตอนนี้คนที่บ้านก็รู้สึกเป็นห่วง และในวันพรุ่งนี้ (14 มิ.ย.) แม้ว่าจะเป็นวันสวดศพวันสุดท้าย ตนก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปร่วมงานได้หรือไม่ เพราะที่บ้านก็มีงานที่ติดพันหลายอย่าง แต่ถ้าหากว่างจะแวะไปแสดงความเสียใจ อีกครั้งหากมีการเรียกร้องค่าเสียหาย หรือเงินช่วยเหลือต่าง ๆ ครอบครัวของตนก็หากินหาเช้ากินค่ำ คงจะไม่มีเงินไปมอบให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต
