จากกรณีนายพุทธะ เทพสุริยะจักรวาล อายุ 38 ปี หรื อหลวงปู่พุทธเทพสุริยะจักรวาล ชาวบ้านเรียกว่า "องค์ดำ" ที่ตกเป็นข่าวหนีสื่อไปจาก จ.บุรีรัมย์ แล้วไปโผล่ที่ จ.สุรินทร์ แล้วหนีก็ย้อนกลับมาที่อาศรมที่ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ อีกครั้ง แต่มาได้เพียงวันเดียวแล้วย้ายออกไปอีก เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 64 เพื่อไป จ.ชัยภูมิ เพราะต้องการไปอยู่ในที่สงบ หลังบอกว่าจะไม่หนีไปมาหลายรอบแล้ว
ล่าสุด ได้ปรากฏภาพของครูต้อย แม่ของ น.ส.สิริวิภา เค้าโนนกอก ไปขอขมาต่อหลวงปู่องค์ดำ เรื่องที่ทำให้องค์ดำถูกสังคมตรวจสอบนั้น
วันที่ 12 มิ.ย. 64 ทีมข่าวเดินทางไปยังสำนักปฏิบัติธรรมหินเพิงบ้านเขาย้อยพัฒนา หมู่ 16 ต.โคกมะม่วง อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ พบว่าสำนักปฏิบัติธรรมนั้นว่างเปล่า ไม่เจอองค์ดำ และไม่มีลูกศิษย์หรือผู้ดูแลอยู่ แต่บริเวณศาลาที่ครูต้อยได้ไปกราบองค์ดำนั้น ก็ยังคงพบลูกมะพร้าวและพวงมาลัยที่ครูต้อยใช้ขอขมาตั้งอยู่ในศาลาที่เดิม ชาวบ้านสังเกตว่าองค์ดำหรือเทพสุริยะนั้น จะเดินทางไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหนก็จะอยู่ที่เดิมไม่เกิน 1 วัน และมักจะเดินทางไปที่อื่น
นายไพบูลย์ ใหญ่กระโทก อายุ 66 ปี ชาวบ้านหมู่ 16 ต.โคกมะม่วง เปิดเผยว่า ตั้งแต่องค์ดำมาอยู่ที่สำนัก ตนก็ไม่เคยที่จะขึ้นไปหาหรือบูชาเลย ตอนแรก ๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาองค์ดำเป็นอย่างไร จนกระทั่งตกเป็นข่าว แต่ทราบว่ามีคนที่ขึ้นไปในสำนักอยู่บ้าง ตนก็ไม่ได้สนใจ และไม่รู้ว่าเขามีคำสั่งสอนอย่างไร เพราะไม่เคยขึ้นไปสัมผัสด้วยตัวเอง แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมาปรากฏตัวในหมู่บ้าน และไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์ดำจะแอบกลับเข้ามาในพื้นที่เมื่อวันก่อน แต่ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครสนใจ เนื่องจากสำนักปฏิบัติธรรมขององค์ดำอยู่ห่างจากหมู่บ้านถึง 5 กิโลเมตร
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา น.ส.สิริวิภา เค้าโนนกอก หรือ แนน อายุ 23 ปี ลูกสาวของครูต้อย เปิดว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนได้โทรศัพท์ติดต่อแม่ได้ สอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม่เองก็บอกว่าตอนนี้ได้กลับบ้านที่หมู่บ้านกุดชุมแสง อ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ แล้ว และแม่อ้างว่าที่ต้องไปขอขมาองค์ดำ เพราะอยากปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ไม่อยากให้สังคมมองว่าแม่นั้นเอาเงินไปลงกับองค์ดำเป็นแสนบาท หลังจากเป็นข่าวดัง แม่ของตนถูกลูกศิษย์สายบุญขององค์ดำตำหนิว่าทำไมถึงไม่ยอมออกมาแก้ข่าวที่ทำให้องค์ดำเสื่อมเสียชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ทำให้แม่ตนต้องไปขอขมาองค์ดำและออกข่าว จากการที่ตนสังเกตคำพูดของแม่ แม่ก็หลุดพูดออกมาว่ามีลูกศิษย์ฝั่งองค์ดำพูดมาว่า "อย่าคิดว่าจะโจมตีเขาได้ฝ่ายเดียว ฝั่งเขาก็โจมตีคืนกลับได้"
น.ส.สิริวิภา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาแม่ให้สัญญากับตนว่าจะยอมหยุด และไม่ยุ่งกับองค์ดำอีก แต่ในเมื่อแม่มาผิดสัญญา ตนก็อาจจะต้องฟ้องร้องขบวนการขององค์ดำ ตนมองว่าชาวบ้านก็รู้ดีอยู่แล้วว่าองค์ดำนั้นมีชื่อเสียงในด้านไม่ดี แต่ก็ยังกลับไปนับถืออีก ซึ่งตนมองว่าแม่ชี้ปุ๊กับคุณจ๋า ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสนิทขององค์ดำนั้นเป็นคนที่คอยชักจูงชาวบ้านให้ไปนับถือ และสำหรับแม่ชีปุ๊นั้น มองว่าควรจะสึกมาเป็นฆราวาสดีกว่าเป็นแม่ชี ถ้าหากยังทำตัวแบบนี้อยู่
ทั้งนี้ตนคิดว่าแม่ของตนน่าจะมีสภาพจิตใจไม่ปกติ และมีความอ่อนไหวง่ายต่อคำชักจูง ซึ่งตนพยายามชักชวนให้แม่ไปพบจิตแพทย์ แต่แม่ก็ไม่ยอมไป อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่ากลุ่มขององค์ดำนั้นน่าจะเป็นขบวนการ เพราะคนขับรถขององค์ดำที่เป็นพนักงานการไฟฟ้านั้นก็เป็นลูกศิษย์ขององค์ และตนเคยเห็นเขาเอาเครื่องรางของขลังไปขาย จึงเชื่อได้ว่าคนกลุ่มนี้น่าจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้คลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.สิริวิภา และครูต้อย เนื้อหาเป็นเสียงของครูต้อยเล่าให้ลูกสาวฟังว่าลูกศิษย์ขององค์ดำได้พูดกับครูต้อยว่า "อย่าคิดว่าเก่งคนเดียว คนเก่งกว่ามึงก็มี อย่าคิดว่าจะให้มึงฆ่ากูฝ่ายเดียว กูก็ฆ่ามึงได้เหมือนกัน"
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านครูต้อย ที่บ้านกุดชุมแสง อ.หนองบัวแดง ครูต้อยใส่ชุดผ้าไทยเสื้อสีขาว เชิญชมบ้านตอไม้ที่สร้างไว้หลังบ้านหลังใหญ่
ครูต้อย เปิดเผยว่า ที่ตนเดินทางไปกราบไหว้องค์ดำที่เป็นข่าว เพราะตัวเองสำนึก อยากจะไปแก้ข่าว ไม่อยากจะให้คนอื่นลำบากใจเพราะตัวตนเองไม่มีญาติธรรมลูกศิษย์ลูกหาของปู่องค์ดำท่านใดมากดดันให้ไปกราบไหว้ เพียงแต่ตัวเองมีคุณธรรมประจำใจ เรื่องที่เป็นข่าวนั้นไม่เป็นความจริง ตนก็ไม่ได้นำเงินไปบริจาคให้กับปู่องค์ดำอย่างที่เป็นข่าวว่านำเงินมาบริจาคเป็นจำนวนมากอย่างที่ลูกเคยพูดออกสื่อ
ส่วนเรื่องว่าลูกสาวจะพาตนแม่ไปตรวจสุขภาพทางจิต ตนไม่ไป เพราะทุกอย่างเป็นปกติ มีสุขภาพจิตดี มีสติทุกประการ ซึ่งลูกสาวเป็นคนดี เป็นคนเก่ง รักครอบครัว รักคุณยายมาก น้องแนนเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองสู งกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่อย่าลืมว่าบางครั้งน้องแนนไม่ได้ปรึกษากับแม่ว่าให้มันแน่ชัดเสียก่อนค่อยตัดสินใจ
