สิระรับคำติงนายกฯ แจงเปิดสภารับลุงพลเห็นใจเดือดร้อน "ตั้ม" อ่อนน้อมไม่ฟาดลุงตู่ (คลิป)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกอาการฉุนขณะลุกขึ้นอภิปรายชี้แจงการออก พ.ร.ก เงินกู้เพิ่ม 5 แสนล้านบาท ในช่วงวานนี้ (9 มิ.ย.64) โดยในช่วงหนึ่ง นายกฯ ฟาดแรงไปถึงกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม

กรณีที่ทนายตั้ม พานายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่ ที่อยู่ระหว่างประกันตัวชั้นศาล เดินทางเข้ามาพบนายสิระ เจนจาคะ ประธานกรรมาธิการกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ให้ตรวจสอบตำรวจที่จับกุมตัว และมีการแถลงข่าวยิ่งใหญ่ในรัฐสภา

ทั้งนี้ นายกฯ ยังท้วงติงด้วยน้ำเสียงดุเดือดต่อประเด็นดังกล่าวว่า "เอาผู้ต้องหามาแถลงสู้คดีอยู่ข้างล่างใต้ถุนรัฐสภา นี่มันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยเนี่ย"

ขณะที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคล เพราะรัฐสภาเป็นพื้นที่สาธารณะที่คนเข้ามาได้ ส่วนเรื่องความเหมาะสมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล

ล่าสุดวันที่ 10 มิ.ย.64 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้โพสต์ข้อความพร้อมกับแชร์ลิงก์ข่าว ผ่านเฟซบุ๊ก @ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ระบุว่า "ในส่วนตัวผมก็ติดตามการทำงานของท่านมาตลอด ไม่ขออนุญาตก้าวล่วงหรือวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพนับถือ ท่านอยู่ในบทบาทผู้นำประเทศในการแก้ไขวิกฤต ในฐานะที่ผมเป็นประชาชนตัวเล็ก ๆ ก็ขอเป็นกำลังใจ ให้ท่านในการนำพาประเทศผ่านวิกฤตโควิด 19 ไปได้นะครับ"

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดไปแล้วว่าไม่สมควร และหลังจากนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของพรรคที่จะเรียกนายสิระ มาพูดคุย ส่วนจะมีการตักเตือนอะไรหรือไม่ ก็ต้องรอฟังคำชี้แจงก่อน 

"ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ การเมือง ประจำมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพส​ต์เฟซบุ๊ก @Pavin Chachavalpongpun ระบุว่า "แหล่งข่าวแจ้งมาว่า ลุงพลกับสิระไปกินข้าวกันเมื่อวันที่ 7 เม.ย.64 ที่ผ่านมา มี ส.ส.พลังประชารัฐไปด้วย (ส.ส.แม่ฮ่องสอน) มันต้องมีอะไรกันใช่ไหมคะ?"

ทีมข่าวอมรินทร์ได้พูดคุยกับ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ในวันนี้ตนขอออกมาชี้แจง 3 กรณีด้วยกัน

กรณีที่ 1 ประเด็นโซเชียลดราม่าหลังมีภาพลุงพลนั่งกินข้าวกับบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ห้องอาหาร และอ้างว่าตนคือหนึ่งในนั้นด้วย ตนอยากชี้แจงว่าภาพที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั้งหมด ไม่มีภาพของตน รวมถึงไม่มี ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ อยู่ในรูปด้วย ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทำงานอย่างเดียว ตนจึงขอยืนยันว่าไม่มีภาพไปทานข้าวแบบนั้นแน่นอน กรณีที่เกิดขึ้นตนก็ไม่เข้าใจว่าเป็นกระแสได้อย่างไร แต่เท่าที่ทราบมาข้อมูลถูกเผยแพร่มาจากเฟซบุ๊กของนายประวิน ที่เป็นผู้ต้องหาหนีคดี ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ สร้างความแตกแยกให้กับสังคมไทยมาโดยตลอด แต่กฎหมายไทยไม่สามารถเอาผิดได้ เนื่องจากนายปวินอยู่ที่ต่างประเทศ

ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา หากเรื่องราวที่นายปวิน นำมาเผยแพร่เป็นเรื่องจริง ขอให้เจ้าตัวกลับมาประเทศไทย ไม่ใช่มาทำให้สังคมไทยแตกแยกกันแบบนี้ ตนยืนยันว่าตั้งแต่ตนรู้จักลุงพล เคยเจอกันเพียง 3 ครั้ง ซึ่งไม่ได้มีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว ส่วนกรณีที่ลุงพลนำผ้าขาวม้าผูกเอวให้ตน เป็นธรรมเนียมของคนต่างจังหวัด เป็นการแสดงถึงความเคารพนับถือ ไม่ได้มีอะไรมากเป็นพิเศษ

จากการตรวจสอบภาพที่ปรากฏออกมานั้น เป็นภาพช่วงเดือนเม.ย.64 วันเดียวกันกับที่ลุงพลนำหนังสือมายื่นที่สภา พร้อมกับทนายสมเกียรติ และปู่มหามุนี ที่ห้องกรรมาธิการกฎหมาย แต่หลังจากทำธุระเสร็จสิ้นก็พากันไปกินข้าวที่ห้องอาหาร ซึ่งในส่วนนี้ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือไปร่วมรับประทานอาหารด้วย และไม่มีส่วนเกี่ยวโยงเข้าการเมืองอย่างแน่นอน

กรณีที่ 2 ที่ตนรับหนังสือของลุงผล เสมือนเป็นการก้าวล่วงตุลาการหรือไม่ ในส่วนนี้ตนอยากชี้แจงว่าการที่ตนรับหนังสือของลุงพล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี หรือเรื่องของการไตร่สวนของศาล แต่เป็นเรื่องของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนคำร้อง ขออนุมัติหมายจับ เพื่อตรวจสอบว่ามีการปรุงแต่งบิดเบือนอะไรหรือไม่ ซึ่งทนายตั้ม และลุงพล เดินทางมายืนหนังสือให้กับตนมีจุดประสงค์เพื่อให้ตรวจสอบว่า การขออนุมัติหมายจับตรงตามข้อเท็จจริงหรือมีการบิดเบือนอะไรหรือไม่ ตนจึงยื่นมือช่วยเนื่องจากเคยสัญญากับทางแม่ของน้องชมพู่ รวมไปถึงลุงพลว่าหากไม่ได้รับความยุติธรรม ให้เดินทางมาหาตนได้ทันที

กรณีที่ 3 ประเด็นที่นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมรัฐสภาว่า "สภาไม่ใช่ที่แถลงข่าวต่อสู้ของผู้ต้องหา" ในส่วนนี้ตนก็น้อมรับคำตำหนิ ในฐานะ ส.ส. ก็จะนำกลับไปปรับปรุงแก้ไข แต่อยากเรียนให้ทราบว่าจุดประสงค์ที่ตัดสินใจ เพราะมีผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หากตนไม่รับเรื่องจะเสมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ ถึงแม้ว่าลุงพลจะเป็นผู้ต้องหา แต่ตนก็จำเป็นต้องรับเรื่องตรวจสอบ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมไปแล้วในคดีก่อน ๆ ก็มีการออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับตน กระทั่งได้รับความเป็นธรรมก็มี