สิระฟาดอัจฉริยะถามห้ามเจอแม่ชมพู่เพื่ออะไร ลุงพลปลื้มเข้าสภาสาวกรี๊ดจับมือ (คลิป)

10 มิ.ย. 64

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.64 เวลา 13.00 น. นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล พร้อมนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น และทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้เดินทางมาถึงรัฐสภา สังเกตว่าเหล่ายูทูเบอร์ได้เดินทางมารอนายไชย์พล ก่อนหน้านี้แล้ว

โดยนายไชย์พล ได้เปลี่ยนชุดจากผ้าครามเป็นชุดสูทสีน้ำเงิน เช่นเดียวกันกับนางสมพร ที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ้าไทยกางเกงยาว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปภายในรัฐสภา โดยจะอนุญาตเพียงนายไชย์พล นางสมพร และทนายษิทรา เข้าไปพบ เพื่อพูดคุยกับนายสิระ จากนั้นถึงจะลงมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

646836

ทีมข่าวสังเกตได้ว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะพานายไชย์พลขึ้นรถกอล์ฟเข้าไปภายในรัฐสภา นายไชย์พล ได้ชู 2 นิ้ว ให้เหล่ายูทูเบอร์ ถือเป็นการยืนยันว่ากำลังใจยังคงดี ซึ่งเหล่ายูทูเบอร์จะต้องรออยู่นอกรัฐสภา

414430

ทั้งนี้ บริเวณทางเข้าประตูรัฐสภา ทีมข่าวสังเกตเห็นชายคนหนึ่งทราบว่า นายประยูร ขันธ์ขาว อายุ 65 ปี ซึ่งเคยปรากฎตัวที่หมู่บ้านกกกอก ในวันที่ 5 มิ.ย.64 มานั่ง ๆ ยืน ๆ ถือกระดาษมีข้อความบางอย่างค่อนข้างหยาบคาย 

ทีมข่าวจึงเข้าไปพูดคุยกับนายประยูร เปิดเผยว่า ตนมารอลุงพลตั้งแต่เวลา 08.00 น. เพื่อรอลุงพลที่จะเดินทางมาพบนายสิระ เพราะตนทราบความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ คล้ายกับการเสียชีวิตของลูกตน เนื่องจากตนตีลูกด้วยไม้เรียวทำให้ลูกชักเกร็งแล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตนเชื่อว่าน้องชมพู่เสียชีวิตภายในบ้านตัวเอง ตนไม่ได้พูดลอย ๆ ตนมีภาพจากคลิปโทรศัพท์มือถือ

แต่เมื่อผู้สื่อข่าวขอดูหลักฐาน นายประยูรกลับบ่ายเบี่ยง ขอไม่ขอเปิดเผย บอกเพียงว่ามีข้อมูลทั้งหมดอยู่ภายในหัว เมื่อผู้สื่อข่าวถามนายประยูรว่า อินข่าวเกินไปหรือไม่ นายประยูร บอกว่า ตนแก่ก็จริง แต่ไม่แก่กะโหลกกะลาที่คอยด่าคนอื่นลอย ๆ ตนพูดแต่ความจริง ไม่อย่างนั้นตนคงจะติดคุกไปแล้ว ตนขอฝากให้นายสิระ นำพาคดีไปในทางที่ถูกต้อง เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเดินผิดทาง ตนเป็นนักสืบ ตนเป็นคนขับรถแท็กซี่ การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ตนไม่กลัวถูกใครฟ้อง ไม่อย่างนั้น ตนคงไม่พูด สุดท้ายตนขอฝากถึงหมอปลา ตนมีน้ำแข็งกับโซดา อยากจะพบเจอหมอปลาสักครั้ง

465638

เมื่อนายไชย์พล นางสมพร และทนายษิทรา ได้เดินทางเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ก็ได้ออกมาต้อนรับจากห้องประชุม พร้อมรับซองเอกสารคำร้องจากนายไชย์พล จ่าหน้าซองระบุว่า “เรียน นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน” ให้กับนายสิระ

406344

โดยทนายษิทรา ได้เริ่มแถลงข่าวก่อนว่า การเลื่อนเวลาเข้าพบนายสิระนั้น ได้มีการประสานกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เถลไถลในการเดินทาง โดยการเดินทางไปไหว้พระเป็นการเสริมสิริมงคล แต่หากทนายความไม่มีพยานหลักฐาน มีแต่ดวง ลูกความก็คงจะชนะคดีไม่ได้ ทั้งนี้การเดินทางมาพบนายสิระ ไม่ได้เป็นการแย่งพื้นที่ข่าวการประชุมสภาพิจารณา พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพราะตนไม่ทราบมาก่อน อีกทั้งนายไชย์พล ยังสะดวกที่จะเดินทางในวันนี้ 

โดยตนต้องขอขอบคุณนายสิระที่ลงมารับหนังสือคำร้องด้วยตัวเอง โดยลูกความของตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการถูกดำเนินคดีโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ วันนี้ตนจึงอยากจะร้องคณะกรรมาธิการฯ ให้ตรวจสอบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นดังนี้

เรื่อง ร้องขอความเป็นธรรม และขอให้ตรวจสอบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

เรียน นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน

ข้าพเจ้านายไชย์พล วิภา เป็นผู้ต้องหาในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.71/2564 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร คดีระหว่างพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรกกตูม ผู้ร้อง กับนายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหา ขอความเป็นธรรมมายังท่านเพื่อให้ตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าตำรวจที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้

112249

1) คณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่336/2563 โดยพันตำรวจโทเจด็จ ปรีพูล ได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับข้าฯ ต่อศาลจังหวัดมุกดาหาร โดยยื่นเหตุผลประกอบคำร้องขอออกหมายจับอันเป็นเท็จ เพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าข้าฯมีพฤติการณ์จะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยข้อเท็จจริงข้าฯ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หากเจ้าพนักงานตำรวจเรียกไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ ข้าฯก็ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ซึ่งสื่อมวลชน และยูทูปเบอร์ก็มาสัมภาษณ์ข้าฯทุกวันไม่ว่าข้าฯจะไปทำธุระที่ไหนก็แล้วแต่ อีกทั้งข้าฯไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

230473

2) คดีนี้ศาลได้อนุมัติหมายจับข้าเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นเพื่อจับกุมข้าฯที่บ้าน ในเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2564 แต่กลับมีการเปิดเผยข้อมูลหมายจับของข้าฯให้แก่สื่อมวลชนตั้งแต่คืนวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โดยสื่อมวลชนไปดักรอข้าฯที่บ้านเพื่อรอทำข่าวข้าฯถูกจับ การนำความลับราชการมาเปิดเผยล่วงหน้า เพื่อให้ข้าฯได้รับความอับอายจากการถูกจับกุม

375038

3) ในเช้าวันที่ 2 มิถุนายน 2564 หลังจากที่ข้าฯทราบแน่ชัดว่ามีหมายจับ จึงได้นัดหมายนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความของข้าฯเพื่อติดต่อเข้ามอบตัว นายษิทราฯได้แจ้งสื่อมวลชนว่าจะเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประสานกับโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจะพาข้าฯเข้ามอบตัว แต่ได้รับการยืนยันจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะจับกุม โดยไม่รับมอบตัว เมื่อข้าฯเดินทางไปถึงบริเวณห้องโถงของตึกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าฯได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าข้าฯมามอบตัว ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจ ไม่ยอมรับมอบตัวและทำการจับกุมข้าฯ โดยสวมใส่กุญแจมือ และปล่อยให้สื่อมวลชนถ่ายภาพให้ข้าฯให้ได้รับความอับอาย อีกทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังให้สัมภาษณ์ว่าเป็นการจับกุม ไม่สามารถรับมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ อันเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายและละเลยสิทธิของผู้ต้องหา เจ้าพนักงานตำรวจทุกคนมีอำนาจหน้าที่จับกุมตามหมายจับก็ย่อมมีอำนาจรับมอบตัวด้วยเช่นกัน การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวจึงเป็นเจตนากระทำผิดต่อกฎหมายเสียเอง

234156

4) หลังจากที่ข้าฯถูกนำตัวส่งศาลจังหวัดมุกดาหารเพื่อฝากขัง ในวันดังกล่าวเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวข้าฯ โดยศาลได้ทำการไต่สวน นางสาวิตรีฯยอมรับจากการถามค้านของทนายข้าฯว่า ที่ยื่นคำร้องคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวข้าฯ เพราะทำตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานตำรวจ  เป็นที่เห็นได้ชัดว่าเจ้าพนักงานตำรวจในคดีนี้มิได้วางตัวเป็นกลาง หากแต่มุ่งต้องการเอาผิดข้าฯ และพันตำรวจโทธนกาญจน์ พระสุมาตย์ พยานที่ให้การก็ยอมรับจากการถามค้านของทนายข้าฯว่า ไม่มีใครแจ้งเลยว่ามีการคุกคามพยานในคดีนี้มาก่อน ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจมาขอหมายจับข้าฯ พันตำรวจโทธนกาญจน์ฯ ก็ไม่ทราบว่าผู้ต้องหา(ข้าฯ) จะมีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งจากคำเบิกความ และการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าขบวนการตั้งแต่การขอออกหมายจับข้าฯ จนกระทั่งจับกุมจนถึงนำตัวมาฝากขังต่อศาล เป็นการวางแผนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สังคมมองว่าข้าฯเป็นผู้กระทำความผิด เป็นโจรผู้ร้าย เป็นคนไม่ดี ก่อนที่ศาลสถิตยุติธรรมจะมีคำพิพากษา

ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงขอให้ท่านในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ได้โปรดมีการตรวจสอบการปฎิบัติหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเรียกพยานต่างๆมาสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ข้าฯด้วย
 
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ลงชื่อ นายไชย์พล วิภา ผู้ร้องขอความเป็นธรรม

ทั้งนี้ ตนไม่กังวลว่าการยื่นคำร้องต่อกรรมาธิการฯ ขณะที่คดีความยังไม่สิ้นสุด จะเป็นการเปิดเผยหลักฐานและพยาน เพราะตนมั่นใจในตัว และการยื่นคำร้องต่อกรรมาธิการ เป็นการยื่นคำร้องในประเด็นการจับกุม ไม่เกี่ยวกับประเด็นใครผิดหรือถูก ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวนอยู่ฝ่ายเดียว และขอศาลในการออกหมายจับ ซึ่งตนอยากจะเสนอนายสิระ ด้วยว่าอยากให้แก้กฎหมาย ตนอยากให้พนักงานอัยการมีสิทธิ์ในการถ่วงดุลอำนาจ เข้ามาตรวจสอบสำนวนก่อนที่จะยื่นคำร้องออกหมายจับต่อศาล

ส่วนการตั้งทีมทนายของฝั่งแม่ของน้องชมพู่ ตนในฐานะทนายก็รู้สึกยินดีและดีใจที่มีทนายเข้ามาช่วยรักษาสิทธิ์ให้ แต่ตนนั้นไม่รู้จักทนายวินัย ชุมสวัสดิ์ ผู้ที่นายอัจฉริยะ จัดหามาให้เป็นทนายของแม่ของน้องชมพู่ ซึ่งทนายวินัย อาจจะเป็นคนเก่ง แต่อาจจะไม่ได้ออกสื่อตนจึงไม่รู้จัก ตนไม่รู้สึกกังวลใจอะไร เพราะนายอัจฉริยะ เคยฟ้องตนร่วม 10 คดี แต่ไม่มีคดีใดเลยที่ชนะ หากพูดว่าเคยเจอกันมาหลายคดีแล้ว ก็ควรพูดให้ละเอียดด้วยว่าทุกคดีไม่เคยชนะตน

392105

นายสิระ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้รับหนังสือจากนายไชย์พล และทนายษิทราเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นการออกหมายจับ ศาลจะพิจารณาจากสำนวนของพนักงานสอบสวน ซึ่งทนายษิทรา ติดใจในเรื่องนี้  ไม่ได้ติดใจในการพิจารณาของศาล ซึ่งการร้องขอความเป็นธรรมกับกรรมาธิการฯ เป็นเรื่องปกติ ถือเป็นช่องทางหนึ่งที่เป็นที่พึ่งของประชาชน บางคนมองว่าทนายษิทรานำเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ตนขอชี้แจงว่าคิดผิด เพราะคณะกรรมาธิการฯ มีไว้เพื่อช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ ตนรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ทราบข่าวว่า นายอัจฉริยะ บอกว่าไม่อนุญาตให้ตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวในคดีของน้องชมพู่ และไม่อนุญาตให้ตนเข้าพบแม่ของน้องชมพู่ ขอชี้แจงว่าตนไม่รู้จักนายอัจฉริยะ แต่ที่ตนจะเดินทางไปพบกับแม่น้องชมพู่ ในวันที่ 12 มิ.ย.64 ซึ่งไม่ได้ไปลำพัง แต่ไปกับคณะกรรมาธิการฯ เพราะตนเคยรับปากไว้ว่าจะดูแลเกี่ยวกับความยุติธรรม แต่ทำไมนายอัจฉริยะ กลับปิดกั้น ตนจึงอยากให้นายอัจฉริยะ พิจารณาตัวเอง รวมถึงตนอยากให้สังคมร่วมพิจารณาด้วยว่าบุคคลนี้เป็นคนอย่างไร 

ในประเด็นนี้คงต้องถามแม่ของน้องชมพู่ว่า อยากให้คณะกรรมาธิการฯเข้าไปช่วยเหลือหรือไม่ คาดว่าในวันที่ 12 มิ.ย.64  ตนคงจะได้เข้าไปพูดคุยกับพนักงานสอบสวนด้วย ตนขอชี้แจงว่า ไม่ใช่เพราะลุงพลมีชื่อเสียง คณะกรรมาธิการฯ จึงรับคำร้อง ไม่ว่าประชาชนจะเดือดร้อนอะไร ก็สามารถมายื่นคำร้องได้ หากไม่มีค่ารถก็ขอให้ยื่นหนังสือมา แล้วคณะกรรมาธิการฯจะเดินทางไปหาถึงที่

150157

ด้านนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย หนึ่งในคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การรับคำร้องของนายไชย์พล และทนายษิทรา เป็นเพียงการรับคำร้องไว้ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯจะต้องนำคำร้องนี้เข้าสู่ที่ประชุมและลงมติ เพื่อพิจารณารับเรื่องต่อไป ต้องดูขอบเขตอำนาจและความรับผิดชอบว่าเข้าข่ายหรือไม่ โดยจะไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีอย่างเด็ดขาด

249156

หลังจากยื่นหนังสือคำร้องเสร็จสิ้น ป้าแต๋นได้นำผ้าทอมือของจังหวัดมุกดาหารส่งให้นายไชย์พลนำไปผูกเอวนายสิระ โดยระบุว่าเป็นของที่ระลึกมามอบให้กับนายสิระ 

636571

ด้านนายไชย์พล บอกว่า ตนขอแสดงความในใจเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม โดยตนยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับสังคม ซึ่งตนเชื่อว่าประชาชนทุกคนต้องการความยุติธรรม ทั้งนี้การที่ผู้เสพข่าวมองว่าที่ศาลออกหมายจับเพราะศาลมองตนเป็นคนร้ายนั้น ตนอยากแนะนำว่าการเสพสื่อต้องเสพอย่างรอบคอบ ซึ่งตนไม่โกรธใครที่แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ แต่ขอให้แสดงความคิดเห็นบนหลักของความถูกต้อง

999785551365

ทั้งนี้ นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ได้แซวนางสมพร หรือ ป้าแต๋นว่า โซเชียลฯ มีการนำเสนอว่าป้าแต๋นหน้าเหมือนนางงามจักรวาลคนล่าสุด อีกทั้งยังได้บอกนายไชย์พล เคารพการตัดสินของศาล ซึ่งนายไชย์พลก็ได้พูดว่า “สัญญาและยืนยันว่าจะเคารพการตัดสินของศาล และไม่หนีไปไหน”

699798

เวลาประมาณ 14.15 น. หลังจากที่นายไชย์พล , นางสมพร และทนายษิทรา ได้เข้าไปพบกับ นายสิระ เจนจาคะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน และร่วมกันแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ซึ่งใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง ก็ได้เดินทางออกมาด้วยรถกอล์ฟ เพื่อขึ้นรถตู้แยกย้ายกลับที่พัก โดยนายไชย์พลและนางสมพร จะเดินทางกลับจ.มุกดาหารในวันพรุ่งนี้ (10 มิ.ย.64) โดยมีเหล่ายูทูเบอร์ล้อมรอบให้กำลังใจ พร้อมทั้งมีแม่ค้าและชาวบ้านใกล้เคียงเข้ามาขอถ่ายรูปกับทั้ง 3 คน

145218

นายไชย์พล บอกว่า หลังจากที่ตนได้เข้าไปยื่นหนังสือให้นายสิระ เจนจาคะ ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ทั้งนี้ตนมีความสบายใจมากขึ้นที่ได้มีโอกาสใช้สิทธิ์ตามที่คนไทยทั่วไปควรจะได้รับ ด้านนางสมพร บอกว่า การตั้งทนายของแม่น้องชมพู่ ถือเป็นสิทธิ์พื้นฐานของอีกฝ่าย ซึ่งถือเป็นความยุติธรรมที่ต่างฝ่ายต่างจะได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งจากนี้ขอให้เป็นเรื่องของศาล

392740

ทนายษิทรา บอกว่า วันนี้ตนได้ยื่นหนังสือให้กับนายสิระ ซึ่งประกอบไปด้วยเอกสารคำร้อง และเอกสารการให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อร้องขอให้มีการตรวจสอบการเขียนสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องรอมติของคณะกรรมาธิการฯ อีกครั้งว่าจะรับเรื่องหรือไม่ โดยตนอยากให้นายสิระ เรียกตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาชี้แจง แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ

โดยตนขอย้ำอีกครั้งว่า ตนไม่มีความกังวลเกี่ยวการตั้งทีมทนายของแม่ของน้องชมพู่ จากความรู้สึกจริง ๆ “ในตอนแรก ผมนึกว่าจะได้คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อในมุมของกฎหมาย ตอนแรกผมหวั่นใจว่าจะเป็นทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เพราะมีลีลาและความรู้ด้านกฎหมาย แต่ถ้าเป็นทีมทนายของอัจฉริยะ ผมไม่กังวลอะไร เพราะฟ้องผมมา 10 คดี ไม่เคยชนะสักคดีเดียว แต่ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะแต่งตั้งใครก็ได้” จากนี้จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการฯ แต่ทางตนก็จะมีการดำเนินการในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับคดีต่อไป แต่ไม่ขอบอกรายละเอียด

หลังจากการให้สัมภาษณ์ ทนายษิทราได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า คาดว่าอีก 2 วัน หรือภายในสัปดาห์หน้า ตนจะบินไปยังจ.มุกดาหาร เพื่อเข้าไปทำภารกิจเกี่ยวกับคดีของนายไชย์พล จากนั้นเหล่ายูทูเบอร์ก็ได้แห่กันเข้ามาขอถ่ายวิดีโอ ขอถ่ายรูป และขอกอดนายไชย์พล นางสมพร และทนายษิทรา

อีกทั้งยังมีชาวบ้าน และคนงานภายในรัฐสภา ตะโกนร้องเรียกชื่อนายไชย์พล เพื่อขอถ่ายรูปและให้กำลังใจ ซึ่งก่อนที่นายไชย์พล จะแยกกับทนายษิทรา เหล่ายูทูเบอร์ได้เรียกร้องให้นายไชย์พลกอดกับทนายษิทรา ซึ่งนายไชย์พลก็ได้เข้าไปสวมกอดทนายษิทรา เพื่อขอบคุณ จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็ได้แยกย้ายกันกลับที่พัก โดยขณะที่รถตู้ของนายไชย์พล เคลื่อนตัวออกจากด้านหน้าประตูของรัฐสภา เหล่ายูทูเบอร์ต่างได้แห่กันมาถ่ายทะเบียนรถตู้ของนายไชย์พล หมายเลขทะเบียน 32-4254 กรุงเทพมหานคร

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส