จากกรณีวันที่ 26 พ.ค. 64 เวลา 10.00 น. ร.ต.อ.วีระพงษ์ วิเท่ห์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.สว่าง ได้รับแจ้งเหตุคนถูกยิงด้วยอาวุธปืน ที่บ้านเลขที่ 58 ม.11 บ.ดงกลาง ต.โคกกม่วง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.ธิติ สมศรี รองผกก.หัวหน้าสถานี สภ.สว่าง พร้อมชุดสืบสวนตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ภจว.ร้อยเอ็ด แพทย์เวร รพ.โพนทอง รุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ
จุดเกิดเหตุเป็นบริเวณห้องครัวด้านหลังบ้านพัก 2 ชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ พบศพชายทราบชื่อคือ นายอนุวัฒน์ ชมภูพฤกษ์ หรือ ตั้ม อายุ 27 ปี นอนหงายหน้าจมกองเลือด อยู่พื้นห้องครัว ตรวจสอบพบบาดแผลถูกยิงเข้าที่หน้าอก 2 นัด ข้อเท้าขวา 1 นัด ชายโครงซ้าย 1 นัด ใกล้กันพบมีดสปาต้ายาว 50 ซม. มีรอยเปื้อนเลือดที่คมมีดตกอยู่ข้างศพด้านขวา และพบปลอกกระสุนขนาด 9 มม. ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ 3 ปลอก เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจึงเจ้าทำการเก็บหลักฐานในจุดเกิดเหตุ
ล่าสุด วันที่ 27 พ.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณบ้านเลขที่ 58 ม.11 บ.ดงกลาง ต.โคกกกม่วง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด จุดเกิดเหตุอยู่บริเวณห้องครัวด้านหลังบ้าน ยังคงหลงเหลือลอยคาบเลือดของผู้เสียชีวิตอยู่บริเวณนี้
นอกจากนั้น จากการสำรวจของทีมข่าวพบว่า บริเวณรอบบ้านทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำโพลิสต์ไลน์มากันพื้นที่ไว้ อีกทั้งสิ่งของรอบตัวบ้านไม่ว่าจะเป็นโองน้ำ ตู้เสื้อผ้า ประตู หน้าต่างภายในบ้าน ชำรุดพังจากการที่ผู้เสียชีวิตเกิดอาคารคลั่งยาเสพติด แล้วทุบทำลายข้าวของจนพังยับ
นางวริวรรณ บุญย่อ อายุ 48 ปี แม่ผู้เสียชีวิต เผยว่า ผู้เสียชีวิตคือนายอนุวัฒน์ ชมภูพฤกษ์ อายุ 27 ปี ลูกชายของตน เป็นคนดี อาศัยอยู่กับยายที่บ้านจุดเกิดเหตุเพียง 2 คน ส่วนตนและสามีไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ช่วงหลังลูกชายกลายเป็นผู้ป่วยโรคประสาท เนื่องจากไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จนเกิดอาการหลอน เวลาคลั่งส่วนใหญ่ก็มักจะทำลายข้าวของภายในบ้านพังเสียหาย หนักสุดถึงขั้นทำร้ายยายวัย 70 ปี ทุบตีจนต้องพายายหนีไปอยู่บ้านญาติมาแล้ว นอกจากนี้ ยังเคยใช้อาวุธไปไล่ฟันเพื่อนบ้านหลังติดกัน จนชาวบ้านเกิดความหวาดกลัว
กระทั่งล่าสุดลูกชายเกิดอาการคลั่งอีกเช่นเคย เอาอาวุธมีดไปไล่ฟันบ้านของเพื่อนบ้านจนต้องปิดบ้านหนี ทำให้เพื่อนบ้านทนพฤติกรรมไม่ไหว ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวลูกชาย หวังพาไปบำบัดรักษาอาการในวันที่ 26 พ.ค. ช่วง 07.00 - 08.00น. โดยก่อนเกิดเหตุลูกชายได้ทำกับข้าวอยู่ที่บริเวณครัวหลังบ้าน ตำรวจที่ได้รับแจ้งก็เข้ามาระงับเหตุ เห็นประตูหน้าบ้านปิด จึงเดินอ้อมไปที่ด้านหลังบ้าน กระทั่งไปเจอลูกชายกำลังถืออาวุธมีดทำกับข้าวอยู่ในครัวพอดี ขณะเกิดเหตุลูกชายที่มีอาการทางประสาท เห็นเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาในบริเวณบ้าน จึงตะโกนบอกกับทางเจ้าหน้าที่ว่า "ถ้าใครเข้ามา กูจะฆ่าให้หมด"
เจ้าหน้าที่เมื่อได้ยินจึงทำการเจรจา แต่เหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงถูกลูกชายที่ถืออาวุธมีดอยู่ฟันเข้าที่หน้าผาก และแขนด้านขวา 2 แผล โดยที่ตำรวจไม่ทันได้ระวังตัว ทางเจ้าหน้าที่ที่ถูกลูกชายทำร้ายจึงใช้อาวุธปืนยิงใส่ลูกของตนจำนวน 4 นัดเข้าที่บริเวณหน้าอก 1 นัด ข้อเท้าขวา 2 นัด และชายโครงซ้าย 1 นัด อ้างว่ายิงขาป้องกันตัวแล้วแต่ลูกชายไม่ยอมหยุด จนลูกชายเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนมีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาจับกุมตัวลูกชายทำเกินกว่าเหตุเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเข้ามาคุมตัวลูกชายไปบำบัดรักษาอาการแล้วหลายครั้ง ก็น่าจะรู้ว่าลูกชายของตนมีอาการทางประสาท ทำไมขณะที่เข้ามาทำการจับกุมไม่มีวัตถุเครื่องป้องกันตัวมาให้พร้อม จนพลาดท่าถูกลูกชายฟัน สุดท้ายจึงต้องทำการวิสามัญฆาตกรรมลูกชายของตนแบบนี้ ทั้งที่ไม่สมควรทำ
ตนยืนยันว่าตนไม่ได้โกรธทางเจ้าหน้าที่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมั่นใจว่ายังคงสามารถพูดคุยกันได้ถึงกรณีดังกล่าว เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุการครั้งนี้ ทำไมถึงขั้นต้องใช้อาวุธปืนวิสามัญฆาตกรรม หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้ทางเจ้าที่ตำรวจรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเรื่องของชดใช้ค่าเยียวยา พร้อมทั้งอยากจะฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูเคสนี้เป็นเคสอุทาหรณ์ตัวอย่าง หากมีเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกัน ก็ขอจะให้ทางเจ้าหน้าที่มีการเตรียมการระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ จะได้ไม่เกิดเหตุซ้ำอีก
นายสันติศักดิ์ ปองดี อายุ 48 ปี พ่อผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุทางครอบครัวก็อยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เพราะยังคงทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวยอมรับว่าลูกชายมีการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจริง จนกลายเป็นคนเสียสติ มีอาการผิดปกติทางประสาท และเคยจะทำร้ายยายแท้ ๆ จนต้องพายาย ย้ายไปอยู่บ้านญาติจริง อีกทั้งเวลาผู้เสียชีวิตมีอาการกำเริบ ก็มักจะทำลายข้างของภายในบ้านจนพังเสียหาย
ซึ่งในส่วนนี้ ก่อนจะเสียชีวิตทางครอบครัวได้มีการวางแผนจะนำตัวผู้เสียชีวิตไปบำบัดรักษาการติดยาเสพติดอีกครั้ง แต่ก็ไม่ทัน มาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อน จึงมองว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะจุดประสงค์ของคนในครอบครัว มีความต้องการอยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวลูกชายไปบำบัดรักษาอาการคลั่งจากการติดยาเสพติด ไม่ได้มีจุดประสงค์จะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก่อเหตุวิสามัญฆาตกรรมลูกชายของตนแบบนี้
ด้านนางเจียมจิตร ทาปลัด เพื่อนบ้านใกล้ผู้ก่อเหตุ เผยว่า ปกติแล้วตนต้องอยู่บ้านอย่างหวาดระแวง เพราะอยู่ห่างจากบ้านผู้เสียชีวิตเพียง 30 เมตร หากเวลาผู้เสียชีวิตเสพยาเสพติดก็จะมีอาการคลั่ง มักจะอาละวาด โวยวาย ทำลายข้าวของบริเวณรอบบ้านของเขาเอง จนพังเสียหาย
อีกทั้งหนักเข้าก็เคยอาละวาดมาชกต่อยสามีของตน ขณะที่นอนอยู่ในเปลหน้าบ้าน จนได้รับบาดเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อหลายเดือนก่อน จนล่าสุดผู้เสียชีวิตก็เกิดอาการคุ้มคลั่งหนักเช่นเคย เดินถืออาวุธมีดมาฟันที่ประตูหน้าบ้านของตน จนเป็นรอยมีดบุ๋มลงไปอย่างเห็นได้ชัด สร้างความหวาดกลัวให้ตนและสามีเป็นอย่างมาก
เนื่องจากต้องคอยหวาดระแวงและต้องคอยสอดส่องตลอดว่า ผู้เสียชีวิตนั้นจะเกิดอาการคลั่งตอนไหน จนทนไม่ไหวต้องพากันปิดบ้านหนีไปอยู่บ้านญาติ ที่อยู่ห่างกันประมาณ 500 เมตร พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้าระงับเหตุ หวังให้คุมตัวผู้เสียชีวิตไปบำบัดรักษาอาการติดยาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตนตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพราะว่าตนกับสามีต้องคอยอยู่อย่างหวาดระแวงมาโดยตลอด จนความดันกำเริบ อีกทั้งมีความคิดว่าไม่อยากให้ผู้เสียชีวิตมาทำร้าย และก็ไม่อยากทำร้ายผู้เสียชีวิต จึงหวังจะให้ตำรวจพาตัวไปบำบัดเท่านั้น แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อน
ทีมข่าวได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ดาบตำรวจธงชัย มีชัย อายุ 52 ปี ตำแหน่งผบ.หมู่ป สภ.สว่าง ที่ยิงนายอนุวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นหลังเกิดเหตุตอนนี้อาการของตนก็ดีขึ้น หลังเกิดเหตุก็เข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด และกลับมาพักฟื้นรักษาอาการต่อที่บ้าน
โดยบาดแผลของตนถูกฟันเข้าที่บริเวณ กลางหน้าผาก 1 แผล แผลลึกถึงกระดูกเย็บ 7 เข็ม แต่กะโหลกศีรษะไม่แตก แขนด้านขวา 1 แผล จากที่นายอนุวัฒน์จะเข้ามาทำการฟันกลางหน้าผากตน ในขณะที่กำลังก้มหยิบอาวุธปืนที่เหน็บเอวอยู่อย่างไม่ทันระวัง ตนจึงต้องทำการตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงใส่นายอนุวัฒน์เพื่อป้องกันตัว แต่กลับเสียชีวิต สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ได้มีการพูดคุยกับทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตแล้ว ทางครอบครัวก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมาย