"อัจฉริยะ" โต้ ผอ.รพ.แจงปมกางเกงใน “หญิง” ชี้มีพิรุธ - "ทนายเดชา" เผยเอาผิดพยาบาลได้ (คลิป)

จากกรณีที่ น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือ น้องหญิง อายุ 19 ปี เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาหลังไปเที่ยวสถานบันเทิงใน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากกะโหลกศีรษะแตกและสมองบวม โดย นายสุรพล ดาราคำ หรือ อ๊อฟ อายุ 23 ปี ชายที่ขับรถไปส่งน้องหญิง อ้างว่าน้องหญิงกระโดดลงจากรถเทรลเลอร์ แต่ผลชันสูตรแพทย์ระบุว่า ถูกตีด้วยของแข็งเข้าที่ท้ายทอย ก่อนตำรวจจะออกหมายจับนายสุรพล และส่งตัวเข้าเรือนจำ ขณะที่โรงพยาบาลมีการแยกถุงใส่กางเกงในน้องหญิงเป็นขยะติดเชื้อนำไปทิ้ง จึงเป็นที่สงสัยของญาติน้องหญิง

วันที่ 6 ส.ค.61  นพ.ธนะวัตร วัฒนวงษ์ภิญโญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลการุญเวช จ.อยุธยา ได้ชี้แจงไปแล้วว่า ขณะที่น้องหญิงมาถึงที่โรงพยาบาลทุกอย่างฉุกละหุกเนื่องจากต้องรีบช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยพยาบาลจะต้องถอดกางเกงและกางเกงในของน้องหญิงเพื่อใส่ท่อปัสสาวะ จากนั้นก็แยกกางเกงตัวนอกไว้ถุงหนึ่ง และแยกกางเกงในไว้ในถุงสีแดง ซึ่งเป็นถุงสำหรับใส่ขยะติดเชื้อ เนื่องจากเป็นเสื้อผ้าที่สัมผัสกับตัวของน้องโดยตรงและอาจจะปนเปื้อนสารคัดหลั่ง ตามมาตรฐานแล้วจึงจะต้องแยกถุงเอาไว้ (อ่าน: รพ.แจงเหตุทิ้งกางเกงใน “น้องหญิง” ปัดช่วยผู้ต้องหาพ้นผิด ชี้เป็นขยะติดเชื้อ ส่งทำลายตามมาตรฐาน)

ขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า ตนเชื่อว่าเรื่องการแยกถุงกางเกงในไปทิ้ง ไม่เป็นความจริง เพราะประเด็นดังกล่าวมีพิรุธตั้งแต่แรก เนื่องจากวันที่ 29 ก.ค. ตนเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อสอบถาม พยาบาลบอกว่านำกางเกงในใส่รวมในถุงขาวที่มีกางเกงและรองเท้าให้ญาติแล้ว แต่เจนกับรุ้ง เพื่อนของน้องหญิง ซึ่งเป็นคนหยิบถุงสีขาวมาจากใต้เตียงน้องหญิงในห้องฉุกเฉิน ยืนยันว่าในถุงสีขาวมีแค่รองเท้า และกางเกงขาสั้น ทั้งนี้จากการขอดูภาพกล้องวงจรปิด ทางโรงพยาบาลก็เปิดให้ดูแค่ช่วงสั้น ๆ เห็นว่าตอนแรกน้องหญิงใส่กางเกงในสีครีม แต่ไม่เห็นช่วงถอดและช่วงที่แยกใส่ถุงสีแดง ซึ่งกางเกงในถือเป็นสมบัติของคนไข้ ทางโรงพยาบาลไม่มีสิทธิ์นำไปทิ้ง อีกทั้งยังเป็นวัตถุพยานชิ้นสำคัญ เนื่องจากอาจจะมีสารคัดหลั่ง หรือคราบอสุจิติดอยู่ ซึ่งสามารถนำไปตรวจได้ นอกจากนี้ การกล่าวอ้างว่ากางเกงในเป็นขยะติดเชื้อ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะขยะติดเชื้อคือสิ่งที่ปนเปื้อนในสถานพยาบาล เช่น ผ้าก็อต หรือถุงมือยาง ซึ่งตนไม่เชื่อตั้งแต่แรกว่าจะมีการแยกขยะใส่ถุงสีแดงแล้วแม่บ้านนำไปทิ้ง โดยจากนี้ ตนเตรียมจะเปิดคลิปเสียงสำคัญ ที่มีการพูดเรื่องดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า ตำรวจมี 2 นาย พูดคุยกับพยาบาล โดยมีการพูดอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งตนไม่ขอยืนยันว่าเป็นการเตรียมการกันหรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปแจ้งความที่กองปราบปราม กับพยาบาลและแม่บ้าน ฐานร่วมกันทำลายวัตถุพยาน และฟ้องแพ่งกับทางโรงพยาบาลด้วย โดยมีทีมแพทย์ผู้เชียวชาญของทางชมรม ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับขยะติดเชื้อ นอกจากนี้ เจนกับรุ้ง ก็เป็นพยานในวันรับถุงเสื้อผ้า และหลังจากนี้ เตรียมแจ้งความผู้กำกับการ สภ.บางปะอินทร์ และพนักงานสอบสวนในคดี เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นผิดด้วย

ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เผยว่า ประเด็นที่โรงพยาบาลบอกว่าการแยกกางเกงในไว้ในถุงสีแดง ซึ่งเป็นถุงสำหรับใส่ขยะติดเชื้อ และทำตามมาตรฐาน จึงแยกถุงไว้ ตนคิดว่าเหตุผลดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะทุกโรงพยาบาลมีส่วนนิติเวช และมาตรฐานที่โรงพยาบาลกล่าวอ้าง ตนอยากรู้ว่าเป็นมาตรฐานข้อใด เนื่องจากก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยตัดสินกรณีที่ผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตายผิดธรรมชาติ หรือเกิดอุบัติเหตุ ที่เกี่ยวข้องกับร่างผู้เสียชีวิต ต้องเก็บทุกอย่างไว้เพื่อส่งตรวจ เนื่องจากถ้าไม่ส่งก็มีความผิด ตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ส่วนที่นายอัจฉริยะจะไปแจ้งความเอาผิดกับทางพยาบาล ตนคิดว่าสามารถเอาผิดได้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นการทำลายหลักฐานที่จะพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้กระทำผิดได้ แต่เจ้าหน้าที่นำไปทำลาย ทนายเดชา คาดว่า การทำลายหลักฐานในครั้งนี้ต้องทำไปโดยรู้ เพื่อให้บุคคลอื่นพ้นผิด เพราะพฤติการณ์น่าสงสัย เนื่องจากเมื่อญาติไปหาครั้งแรกบอกว่าได้คืนให้ญาติแล้ว ตนจึงสงสัยว่าจะโกหกทำไม และตนคิดว่ามาตรฐานของโรงพยาบาลคือ เมื่อมีคนถามหากางเกงใน จะตอบว่า คืนไปแล้วได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่ได้คืน