เปิ้ล นาคร แจกอาหารให้ประชาชนที่เดือดร้อน  พร้อมยกมือไหว้ วอนอย่าดราม่าปมการเมือง

7 พ.ค. 64

ตั้งใจจะออกมาระบายความลำบากในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แต่กลับโดนชาวเน็ตโฟกัสผิดจุดโยงเข้าการเมืองซะอย่างนั้น สำหรับนักแสดงหนุ่มเปิ้ล นาคร ที่ได้โพสต์ข้อความในไอจีส่วนตัวว่า “2 ร้านอาหาร ค่าเช่า 1 ล้าน ค่าพนักงาน 1 ล้าน ยอดขายหลักพันต่อวัน” ซึ่งก็มีชาวเน็ตคนหนึ่งคอมเม้นต์ว่า “พี่เป่านกหวีดเอาเข้ามาเองปะคะ” จากนั้นก็คนมาร่วมผสมโรงด้วยอีกเพียบ

วันนี้ (7 พฤษภาคม 2564) พี่เปิ้ล ก็เลยขอออกมาเคลียร์เรื่องราวนี้กับสื่อมวลชน โดยบอกว่า ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เปิดใจพูดถึงเรื่องจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง

โดยพี่เปิ้ล เผยว่า ม็อบเป่านกหวีด ตนไปมาจริง แต่ม็อบเสื้อแดงก็ไป ม็อบเสื้อเหลืองก็ไป ตนไปมาทุกม็อบแล้ว และไปม็อบละ 1 วัน เพราะตัวเองอยากรู้ อยากหาคำตอบว่าคนที่ไปที่นั่น เขาพูดคุยอะไรกัน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปมา 2 ข้อ

ข้อแรกคนที่ไปม็อบคือคนดีทุกคน คือคนที่มีจิตใจที่อยากจะเห็นประเทศ ณ ตอนนั้นดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ข้อที่ 2 สิ่งที่ตนได้เห็นทำให้รู้เลยว่า มันไม่ใช่หน้าที่ตนแล้ว ตนขอทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า เพื่อที่วันหนึ่งถ้าประสบความสำเร็จก็จะได้ไปช่วยคนที่แย่กว่าได้

3_0_1

พี่เปิ้ล บอกต่ออีกว่า ตนขอชื่นชมคนที่ไปต่อสู้ตรงนั้นด้วย แต่ตัวเองไม่มีปัญญาแล้ว ขอหยุดการเป็นนักรบ แล้วออกมาเป็นกองหนุนดีกว่า ใครรบกันแล้วบาดเจ็บ ตนจะเข้าไปเยียวยา และต่อให้คนที่ด่าตนหยาบๆ ตนก็พร้อมเดินเข้าไปหาว่าขาดเหลืออะไรไหม ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย เพราะตนรักทุกคนนั่นคือจุดยืนที่ตนเลือกที่จะเป็นแล้วในวันนี้

พี่เปิ้ลพูดทิ้งท้ายอีกว่า ใครได้ฟังคำสัมภาษณ์ในวันนี้ไปแล้ว จะด่าตนต่อก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าด่าเถอะ ขอร้อง (ยกมือไหว้)

อย่างไรก็ตามวันนี้ พี่เปิ้ล และภรรยาสาวคนเก่ง จูน กษมา ก็ได้แพ็คของเพื่อแจกให้กับชุมชนที่การโควิด 19 แพร่ระบาด โดยทั้งคู่ เผยว่า เนื่องจากสงสารคนในชุมชนที่ไม่มีรายได้ เพราะออกไปไหนไม่ได้ พวกตนมีร้านอาหารอยู่แล้ว ต่อให้สถานการณ์ทางร้านแย่ขนาดไหนก็อยากจะช่วย โดยตั้งใจจะทำอาหารแจกทุกวัน พร้อมถุงยังชีพ ที่ประกอบไปด้วยอาหารแห้งเล็กๆ น้อยๆ และข้าวสารที่พวกตนได้รับการสนับสนุนมา 1 ตัน

สำหรับวันนี้จะมอบให้กับชุมชนคลองเตย โดยจะมีส่วนกลางมารับ แล้วก็ไปส่งต่อให้ตัวแทนของชุมชนอีกทีหนึ่ง เพราะพวกตนก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป พยายามเซฟตัวเอง เนื่องจากลูกๆ ที่บ้านก็ยังเล็ก คุณแม่ก็อายุมาก และในพรุ่งนี้ก็จะมอบให้ที่บ่อนไก่ วันอาทิตย์จะมอบให้ที่พระสมุทรเจดีย์ แล้วคิวถัดไปก็คือดินแดง ซึ่งตั้งใจว่าจะทำไปจนกว่าที่เขาจะเปิดให้ทุกคนกลับไปทำงานกันได้

1_0
ถามถึงวันนี้ทำอะไรบ้าง ?
เปิ้ล : “เป็นโปรเจกต์ที่จูนอยากทำมาก คิดเมื่อ 2 วันก่อนก็เริ่มเลย เราเห็นชุมชนที่ติดโควิดเยอะมาก ตอนนี้ประเทศไทยเราค่อนข้างจะสาหัสมาก สาหัสคือพอติดปุ๊บก็ต้องมีการกักบริเวณ นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ เขาไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ เพราะฉะนั้นเขาจะกินอะไร เราทำร้านอาหารอยู่แล้ว แล้วก็เฮ้ย...มองหน้ากันก็ว่าเอาเถอะ ถึงร้านอาหารเราจะเป็นยังไง เราทำอาหารไปแจกเขาทุกวันดีกว่า ก็เลยเกิดโปรเจกต์นี้ขึ้นมา ไม่ใช่โปรเจกต์หรอก เป็นสิ่งที่เราอยากทำ”

จูน : “คือจริงๆ เราก็ทำแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่ตอนน้ำท่วม เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ได้ใหม่สำหรับบ้านเรา คือเราพร้อมเลย เรามีคนมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว เราก็ทำเหมือนเดิมคือทำอาหารแจกให้พี่ๆ ที่ประสบอุทกภัย อย่างตอนนี้ที่มีปัญหาเรื่องโควิด ก็ไม่ได้ลำบากพวกเราเลย เราก็พร้อมเต็มใจที่อยากจะเอาเข้าไปช่วย จูนจำแววตาเวลาที่เราไปช่วยตอนน้ำท่วมได้ เห็นแววตาคนที่เขารอคอย เขาไม่ต้องพูดเลยเราก็รับรู้ได้ จูนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้เหมือนกัน แววตาของทุกคนที่รอคอย มันพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นขอให้เป็นเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาได้มีกินมื้อหนึ่งก็ยังดีค่ะ”

เปิ้ล : “คือน้ำท่วมเนี่ย มันก็ลำบากแต่มันลำบากเป็นจุดๆ พอน้ำลดทุกคนก็ออกมาหากินเหมือนเดิมได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ มันเกินน้ำท่วมหลายร้อยเท่า พอน้ำลดหรือโควิดลดเนี่ย สุดท้ายกว่าจะฟื้นกลับมาได้ ยากอยู่ แต่ ณ ตอนนี้เราครอบครัวเล็กๆ คงไม่มีปัญญาที่จะไปดูแลภาพใหญ่ได้ขนาดนั้น นี่คือสิ่งเล็กๆ ที่เราพอจะทำได้จากครอบครัวของเรา กับเพื่อนที่ดีของเราหลายๆ ฝ่าย ก็ทำอาหารแจก มีถุงยังชีพ มีอาหารแห้งเล็กๆ น้อยๆ ไปแจก ที่สำคัญคือมีข้าวแสนดีแจก 1 ตัน เราจะแจกทุกวันๆ ถ้าหมดเดี๋ยวข้าวแสนดีให้อีก 1 ตัน ให้ไปเรื่อยๆ

6_0_1

จะไปแจกจุดไหน ?
เปิ้ล : “ตอนนี้เราจะมีคนมารับ เป็นตัวแทน เพราะเราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไป มีส่วนกลางมารับ แล้วก็มีตัวแทนของชุมชนมารับอีกทีหนึ่ง เพราะเราก็พยายามเซฟตัวเอง เพราะลูกๆ ที่บ้าก็ยังเล็ก แม่ก็อายุมาก วันนี้เป็นวันแรก เราก็จะไปที่คลองเตยก่อน แล้วพรุ่งนี้เราก็จะมอบไปให้ที่บ่อนไก่ แล้ววันอาทิตย์เราจะมอบให้ที่พระสมุทรเจดีย์ แล้วคิวถัดไปก็คือดินแดง ดินแดงเป็นจุดที่มีความผูกพันกับเรามาก เพราะเราเป็นเด็กดินแดงมาก่อน เติบโตที่ดินแดง เราจะรู้เลยว่าเขามีชีวิตอยู่กันยังไง

แล้วยิ่งมีโควิดเข้ามาแบบนี้ โอ้โห...หนีตายกันยากเลย เพราะฉะนั้นเนี่ย ดินแดงจะเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่เราจะต้องช่วยเยียวยา ตอนนี้ก็ทุกจุดเลยดีกว่า ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่แสนดีของเรานะ ที่ก็ช่วยกันมาทั้งไก่ทั้งไข่ ใครอยากร่วมบริจาคก็อินบ็อกซ์กันเข้ามาได้นะฮะ แต่ไม่ต้องเยอะนะ เพราะครอบครัวเราเล็กๆ เดี๋ยวจะทำไม่ทัน ยังมีมูลนิธิอื่นอีกมาก ก็กระจายกันไปช่วยไปบริจาคได้”

ตั้งใจจะทำไปเรื่อยๆ เลยใช่ไหม ?
เปิ้ล : “ทำไปจนกว่าโควิดจะหมด เราก็คงจนอะ (หัวเราะ) น่าจะทำไปจนกว่าที่เขาจะเปิดให้ทุกคนกลับไปทำงานกันได้ หากินกันได้แล้ว เพราะตอนนี้อย่าว่าแต่เครื่องมือหาปลาเลย หาปลาสักตัวก็ยังลำบาก เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราเนี่ย เรามีเครื่องมือหาปลาของเราอยู่ เราหาปลาได้เราก็แจกๆ แค่คนที่เขาลำบาก เครื่องมือหาปลาไม่มี ไม่มีอุปกรณ์ทำงาน ออกไปไหนไม่ได้ ห้างปิด ร้านปิด งานต้องหยุด เงินเดือนก็ต้องหยุดไปด้วย ซึ่งตรงนี้เราว่ามันหนักมากความน้ำท่วม กว่าอุทกภัย กว่าอะไรทั้งหลายแหล่ ถึงเวลาที่คนไทยต้องมาช่วยกันแล้วครับ”

แต่ว่าร้านอาหารของเราก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเหมือนกัน ?
เปิ้ล : “จริงๆ ร้านเราที่โพสต์ไป ค่าใช้จ่าย ค่าเช่า 2 ร้านอาหารก็เป็นล้านแล้ว พนักงานร่วมร้อยคน เงินเดือนก็เป็นล้านแล้วต่อเดือน”
จูน : “ก็ไม่เป็นไรหรอก คือคนอื่นเขาก็ลำบากกว่าเรา”
เปิ้ล : “ยังไม่รวมบริษัทเราอีกนะ ที่พนักงานรวมทั้งหมดก็ร่วม 200 ชีวิต ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะหยุดกิจการของเราได้ เพราะว่า 200 ชีวิตเขาจะไปทำอะไร เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแบกสู้กันต่อไป เราก็คิดทุกวัน ว่าร้านอาหารสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ ค่าใช้จ่ายหลักล้าน แต่รายได้หลักพันต่อวัน เราจะหยุดหรือจะไปต่อ สุดท้ายเราก็คิดว่าหยุดไม่ได้ เราต้องไปต่อ แต่ต้องไปต่อยังไง คิดทุกวัน คิดยังไง ทำยังไงดี เดลิเวอรี่เหรอ ทำเมนูใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ คิดอยู่ตลอดเวลา บริษัทเราเองก็ต้องคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ทุกอย่างคิดหมด คิดทุกวัน เพราะฉะนั้นกำลังจะบอกว่า ทุกคนที่ลำบากอยู่เนี่ย อย่าหยุดคิดครับ อย่าหยุดคิด อย่าหยุดทำ เราเชื่อว่าทุกคนจะรอดไปได้”

4_0

ตอนที่โพสต์อารมณ์ไหนเครียดหรือนอยด์หรือท้อ ?
เปิ้ล : “ มันเหมือนตัดพ้อตัวเองว่า โอโห รายได้เราแบบนี้ รายจ่ายเราแบบนี้ เราก็กำลังเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกันจากคนไทยทั้งประเทศ ชาวโลกทั้งโลก มันคือการตัดพ้อมากกว่า ซึ่งก็ตัดพ้อในพื้นที่ของเรา “

แต่พอโพสต์ไปคนก็ตีความผิดไปเป็นดราม่าเราเสียใจไหม ?
เปิ้ล : “ ก็มีดราม่าเข้ามา ก็ด่าทอ เราก็เข้าใจเขานะ คือมันเป็นการตัดพ้อแล้วสิ่งที่เราพูดไป เราไม่ได้ต้องการจะด่าใคร เพราะเราไม่ใช่คนชอบด่าคน สิ่งที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากธรรมชาติและเกิดทั่วโลก และไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้นด้วย ส่วนมากคนที่ด่าเราก็น่าจะคนเดิมๆ เอาภาพเก่าเรามาโพสต์แล้วบอกว่า ก็มึงเป่านกหวีดเรียกเขามาเอง อันนี้พี่เปิ้ลเข้าใจว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องบางเรื่องที่พี่เปิ้ลไม่เคยเล่าให้ใครฟัง พี่เปิ้ลถือว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก นี่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเลยนะ ก็จะได้รู้กันไปเลย ถ้าจะด่าต่อก็ว่ากันไป ม็อบเป่านกหวีด พี่เปิ้ลไปมาจริง แต่สิ่งหนึ่งที่คนไม่เคยรู้เลยคือ พี่เปิ้ลไปมาแล้วทุกม็อบ ม็อบเสื้อแดงก็ไป ม็อบเสื้อเหลืองก็ไป ม็อบเป่านกหวีดก็ไป แต่ไปม็อบละ 1 วันนะ เพราะตัวเองอยากรู้ อยากหาคำตอบว่าคนที่ไปที่นั่น สังคมที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ณ ตอนนั้น เขาพูดคุยอะไรกัน

สุดท้ายสิ่งที่เราสรุปมาจากจิตใต้สำนึกของเราเองเลย มีอยู่ 2 ข้อ จากการที่เราไปร่วมด้วย ข้อแรกคนที่ไปม็อบคือคนดีทุกคน คือคนที่มีจิตใจที่อยากจะเห็นประเทศ ณ ตอนนั้นดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ทุกม็อบ ทุกรุ่น ทุกสมัย ทุกสี คิดเหมือนกัน มีวัตถุประสงค์เดียวกัน พี่เปิ้ลเชื่ออย่างนั้น แล้วสิ่งที่ไปสัมผัสมาก็คือเห็นแบบนั้นจริงๆ ข้อที่ 2 สิ่งที่เราได้เห็นมันทำให้เราได้รู้เลยว่า มันไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว มันมองเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่เปิ้ลตัดสินใจออกมานั่งคิดแล้วหาการวางตัวของตัวเอง หาจุดยืนของตัวเองว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน สุดท้ายพี่เปิ้ลก็มามองเห็นว่า ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่า ทำงานของตัวเองให้ประสบความสำเร็จ ดูแลครอบครัวให้เป็นคนมีคุณภาพของสังคม ดูแลลูกน้องให้ดี ทำทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จ ไม่ล้มเหลว เพื่อที่วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จจะได้ไปช่วยคนที่แย่กว่าเราได้ แล้วสุดท้ายพี่เปิ้ลก็เลยทำตามสิ่งที่ตัวเองคิด พอเราช่วยเหลือตัวเองได้ ก็มีกำลังไปช่วยเหลือคนอื่นด้วย สิ่งที่เจอก็คือความสุข พี่เปิ้ลบอกเลยว่ามีความสุขมากอส่วนข้อความที่ด่ามาเนี่ยอยากจะบอกเลยนะ ที่พี่เปิ้ลพูดไปพอจะเข้าใจนะว่าไปมาแล้วทุกสี แล้วก็ชื่นชมคนที่ไปต่อสู้ตรงนั้นด้วย

แต่ตัวเองไม่มีปัญญาแล้ว ขอหยุดการเป็นนักรบ ขอออกมาเป็นกองหนุนดีกว่า ใครรบกันแล้วบาดเจ็บ พี่เปิ้ลจะเข้าไปเยียวยา คนที่ด่าที่เปิ้ลถ้าเห็นหน้าถ้าเจอหน้ากันสามารถวิ่งเข้ามาด่าได้อีก แต่ต้องสัญญานะว่าด่าพี่แล้วคุณจะมีความสุข เพราะนั่นคืออาชีพของพี่เปิ้ล พี่อยู่วงการนี้มา 30 ปี คือการสร้างความสุข สร้างเสียงหัวเราะ ถ้าน้องด่าแล้วมีความสุข พี่ก็ดีใจ พี่อยากเห็นคนไทยบินได้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าด่าเถอะ ไหว้ขอร้อง (ยกมือไหว้) จริงๆไม่ค่อยได้อ่านคอมเมนต์นะ แต่คนมาเล่ามาให้ฟังไง ก็เลยไปแอบเปิด 4-5 อัน อุ้ย แสดงว่าเขายังไม่เข้าใจ แต่ถ้าตอนนี้เข้าใจแล้วก็มาช่วยกันดีกว่า (ยกมือไหว้) คนไหนลำบากบอกมาเลย ต่อให้น้องด่าพี่หยาบๆ พี่ก็จะเดินเข้าไปหาว่าขาดเหลืออะไรไหม พี่ช่วยได้พี่จะช่วย พี่รักพวกเรานะ พี่รักทุกคนนะ นั่นคือจุดยืนที่เปิ้ลเลือกที่จะเป็นแล้วในวันนี้ “

5_0_1

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส