เปิดมุมคิด "โตโน่ ภาคิน" ทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์ฯ กับภารกิจสานต่อโครงการ "ยุติการค้าดีหมี"

10 ก.ค. 61
สะเทือนใจลูกผู้ชายพันธุ์แกร่งเมื่อได้เห็นภาพหมีควายตัวเขื่อง ถูกขังอยู่ในกรงคับแคบ แววตาที่มองออกมานอกกรงดูหม่นหมองเศร้าสร้อย หมีเหล่านี้ถูกจับมานานจนตัวมันเองก็เริ่มลืมเลือนชีวิตในป่ากว้างใหญ่เป็นอย่างไร ฝันร้ายหลายต่อหลายครั้งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านับแต่โดนพรากจาก “บ้าน” ของเขามา นับครั้งไม่ถ้วนที่ต้องโดนยาสลบ ถูกลากออกจากกรง เหล็กแหลมคมที่มีท่อยาวประมาณ 1 ฟุต ทิ่มแทงเจาะเสียบเข้าไปในท้องของหมีที่สลบอยู่ น้ำดีถูกลำเลียงออกมาเรื่อยๆ จนพอใจแล้วจึงลากหมีเข้าไปนั่งในกรงอีกครั้งให้รอฟื้นตัวเองจากบาดแผลอย่างทุกข์ทรมาน “นี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จากสัตว์อย่างไร้ความปรานี กับความเชื่อที่ปราศจากเหตุผลรองรับ ไม่เพียงแต่ความเชื่อว่าน้ำดีหมีเป็นยาโป๊วแล้ว แม้แต่รอยยุงกัดเล็กๆ ที่สามารถจางหายไปได้เพียงไม่ถึงชั่วโมง ก็ยังเชื่อว่าดีหมีจะช่วยได้ เราแลกรอยยุงกัดกับชีวิตหมีทั้งชีวิตเลยนะครับ” โตโน่ – ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เล่าความสะเทือนใจที่ได้พบเห็นในทริปเวียดนามที่เขาในฐานะทูตองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection) ประเทศไทย ซึ่งได้ไปเยือนเวียดนามพร้อมคณะสื่อมวลชน เพื่อสังเกตุการณ์และเก็บข้อมูลฟาร์มเลี้ยงหมี ที่เคยลักลอบขายน้ำดีหมีให้กลุ่มนักท่องเที่ยวในแถบเอเชียที่ยังนิยมใช้ดีหมี และแม้แต่คนเวียดนามกันเอง เพราะความเชื่อฝังใจที่ว่า ดีหมีมีสรรพคุณเป็นยาครอบจักรวาล” การเดินทางครั้งนี้ของโตโน่ คือการสานต่องานในโครงการยุติการค้าดีหมี เพื่อหยุดการทรมานหมีที่ถูกนำไปเลี้ยงเพื่อลักลอบค้าน้ำดี ในเวียดนาม ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกและองค์กรท้องถิ่นของเวียดนาม ENV : Education for Nature Vietnam โดยประสานความร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามในการยุติการทารุณกรรมหมีและยุติการเลี้ยงหมีได้ในที่สุด และได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความตระหนักรู้ให้คนเวียดนาม หันมาสนใจการยุติความทรมานของหมีเลี้ยงเหล่านี้ ใช้การกระตุ้นให้คนเวียดนามร่วมลงชื่อไม่สนับสนุนอุตสาหกรรมการค้าดีหมี และทางองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจะได้นำรายชื่อประชาชนทั้งหมดนี้มอบให้กับรัฐบาลเวียดนาม “ผมว่าพลังประชาชนเป็นแรงผลักดันที่ดีอีกทางหนึ่ง ในการช่วยให้หมีพ้นจากความทุกข์ทรมานอันแสนยาวนาน ผมชื่นชมคนเวียดนามมากที่หันมาให้ความสนใจช่วยเหลือหมีมากยิ่งขึ้น ร่วมลงชื่อไม่สนับสนุนให้มีการเลี้ยงหมีและขอให้รัฐบาลเวียดนาม เข้มงวดกับการยุติการลักลอบค้าน้ำดีหมีให้ได้โดยเร็ว” “และผมอยากจะบอกถึงพี่น้องคนไทยว่าถึงแม้ในบ้านเราไม่นิยมการบริโภคดีหมี หรือใช้ดีหมีเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ตาม แต่เราสามารถช่วยพวกมันได้ ด้วยการบอกต่อกับเพื่อนชาวต่างชาติ หรือคนที่คิดจะกินหรือใช้ดีหมี ถึงความทุกข์ทรมานของหมีเมื่อต้องถูกดูดเอาน้ำดี และมันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือคุณหมอบอกได้เลยว่าดีหมีมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา และคนไทยก็สามารถร่วมช่วยหมีเหล่านั้นได้ด้วยการสนับสนุนการทำงานขององค์กรฯ” ผลจากการทำงานขององค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก และองค์กรท้องถิ่นในเวียดนามมาอย่างยาวนาน รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศใช้กฎหมายห้ามเลี้ยงหมีเพื่อขายน้ำดีในปี 2535 แต่อนุญาตให้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงและการท่องเที่ยวได้ ซึ่งยังคงทำให้เกิดการลักลอบค้าน้ำดีหมี จากนั้นองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลกได้กดดันให้รัฐบาลเวียดนามเริ่มควบคุมและลดจำนวนการเลี้ยงหมี โดยใช้การฝังไมโครชิปในตัวหมีเลี้ยงรวมจำนวนกว่า 5,000 ตัว เพื่อติดตามว่าเป็นหมีที่ไม่ได้ถูกจับมาใหม่ เป็นการป้องกันไม่ให้มีการนำหมีป่ามาเลี้ยงอีก และในปีที่ผ่านมาสามารถลดจำนวนหมีเลี้ยงลงได้เหลือประมาณ 900 กว่าตัว และยังคงเดินหน้าโครงการด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจบนความเจ็บปวดนี้จบสิ้นลง ภาพ / ข้อมูล : WorldAnimalProtectionThailand

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส