เมื่อวันที่ 7 มี.ค.64 เวลา 10.00 น. พลตำรวจตรี พิทักษ์ อุทัยธรรม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางโดยนั่งเฮลิคอปเตอร์ พร้อมเจ้าหน้าที่ บก. ปทส.มาลงที่ สนาม รร.บ้านสานแว้ ต. กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เพื่อมารับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 19/2564 ของ สถานีตำรวจภูธรกกตูม มาทำการสอบสวนแต่เพียงฝ่ายเดียว และร่วมประชุมหารือดำเนินคดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดีต่อไป
จากนั้นเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ ปทส.เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ประมาณ 10 นาย ได้ลงตรวจสอบพื้นที่ที่ลานพญานาคของลุงพล ซึ่งเป็นพื้นที่ทีมีการรุกป่าไม้ ป่าสงวนแห่งชาติ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำโดรนมาบิน และใช้เครื่องจีพีเอส ในการหาพิกัดพื้นที่ลานพญานาคบ้านลุงพล ว่ามีการรุกพื้นที่หรือไม่
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้นำป้ายเขียนหมายเลข 1 วางที่ส่วนหางพญานาค และหมายเลข 2 วางที่ส่วนหัวพญานาค เพื่อให้โดรนที่บินอยู่เหนือลานพญานาค สามารถจับพิกัดของกลางได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ยังนำแผนที่ที่มีการบุกรุกป่ามาให้ทีมข่าวดู ลักษณะเป็น 5 เหลี่ยม ในแผนที่เจ้าหน้าที่ได้ขีดเส้นเป็นสีแดง พร้อมระบุจุดเป็นตัวเลข 1-5
โดยทางด้านเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจพื้นที่ลานพญานาคประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจพื้นที่ ไปประชุมกับ พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม ที่ห้องประชุม สภ.กกตูม ภายหลังจากประชุม พล.ต.ต.พิทักษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ทาง บก. ปทส. ได้รับคำสั่งการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มาช่วย สภ.กกตูม ในการทำคดีที่ลุงพลพร้อมพวกได้รุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
พลตำรวจตรี พิทักษ์ บอกว่า คดีนี้ได้โอนสำนวนมายัง ปทส.อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งตนจะต้องประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางที่จะดำเนินการต่อไป สำหรับคดีบุกรุกป่าสงวน ประเด็นแรกที่ บก. ปทส. จะต้องพิสูจน์ให้ชัด ก็คือพื้นที่ดังกล่าว เป็นป่าสงวนหรือไม่ วันนี้จึงมีการนำโดรน และเครื่องตรวจจีพีเอส มาตรวจสอบให้แน่ชัด เนื่องจาก สภ.กกตูม เป็นโรงพักเล็ก ๆ เครื่องมืออาจไม่เพียง และถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีอาจใช้บุคลากรหลายคน
ถ้าตรวจสอบแล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน หรือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนก็ตาม ขั้นตอนต่อไปก็ต้องมาดูเจตนาว่าของผู้ต้องหา ไม่ว่าจะเป็นลุงพล หรือผู้ต้องหารายอื่น ๆ ว่ามีเจตนาในการบุกรุกป่าหรือไม่ ซึ่งจะมีการดำเนินการตามความผิดต่อไป
ก่อนหน้านี้ลุงพลได้มามอบตัวในคดีรุกป่าสงวนนี้ ที่ สภ.กกตูมแล้ว หลังจากนี้จะต้องโอนสัญญาประกันมายัง บก.ปทส. ในอนาคตลุงพล อาจต้องเปลี่ยนมาประกันตัวกับทีมงาน กองกำกับการ 3 บก.ปทส. คิดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการพิสูจน์ความผิดครั้งนี้ หลังจากนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ว่าจะมีการเรียกตัวลุงพลกับผู้ต้องหารายอื่น ๆ มาสอบสวนอีกหรือไม่
อีกประเด็นหนึ่งที่ทางด้าน บก. ปทส. มาประชุมวันนี้ ก็คือเรื่องการสร้างพญานาคที่บ้านลุงพล ว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร จึงมีการเรียกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาประชุมกันวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำนันกกตูม ผุ้ใหญ่บ้านกกกอก และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอื่น ๆ มาหารือกันว่าจะมีการให้ทุบทำลาย หรือใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ ซึ่งถ้าไม่ทุบจะต้องดูว่าสิ่งก่อสร้างจะเป็นประโยชน์กับชุมชนหรือไม่
ทั้งนี้ บก. ปทส. ไม่มีอำนาจในการตัดสิน ว่า สามารถทุบได้ หรือไม่ไม่สามารถทุบได้ แต่มีหน้าที่ในการประมวณความเห็นกับฝ่ายปกครอง ว่าควรจะดำเนินการกับของกลางอย่างไร ซึ่งสุดท้ายศาลจะเป็นผู้พิจารณา ตนยืนยันว่า การที่ บก. ปทส. รับโอนคดีนี้มาทำ ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร แล้วก็ไม่หนักใจในการทำคดี บก. ปทส. มาทำคดีนี้เพื่อจะเร่งรัดคดีกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องให้คดีจบโดยเร็วไม่ยืดเยื้อ
ด้านนายนิ่ม เงินนาม ผู้ใหญ่บ้านบ้านกกกอก ซึ่งเป็นหนึ่งในฝ่ายปกครองที่ร่วมประชุมกับทางด้านเจ้าหน้าที่ ภายหลังจากประชุมเสร็จ ผู้ใหญ่นิ่ม ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับกรณีที่ว่าจะทุบพญานาคหรือไม่ ตนก็ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งในความคิดเห็นของตนก็ไม่อยากให้มีการทุบ แต่อยากให้คงไว้เพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน อาจมีการจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบมาดูแลพญานาคอีกที หากมีการมอบให้เป็นสาธารณะ
สำหรับการบ้านของตน หลังจากนี้ก็ต้องไปสอบถามความคิดเห็นของชาวบ้านเพื่อลงประชามติ และจะมีการปรึกษาเทศบาล หากว่าจะให้เทศมามารับผิดชอบดูแล กรณีที่ใช้พญานาคเป็นสาธารณะประโยชน์ต่อไป ซึ่งอาจเป็นแลนด์มาร์กใหม่ พญานาคตัวเดียวที่ไม่เสร็จ 100% ก็เป็นได้
ขณะที่ พ.ต.อ.ธณัชชนม์ เก่งกสิกิจ ผกก.3 บก.ปทส. ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่จะทำงานอย่างรอบคอบ ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการบุกรุกป่าสงวนบ้าง โดยเฉพาะบุคคลที่ร่วมตัดไม้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ชื่อบุคคลที่ชัดเจนแล้ว 8 คน และยังมีส่วนที่ไม่ชัดเจนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องรอตรวจสอบต่อไป แต่ยืนยันจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด ซึ่งทั้งหมดจะต้องดูเจตนาในการทำความผิดอีกครั้งว่ามีเจตนาทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าหรือไม่ ทั้ง 8 รายที่ทราบตัวชัดเจน เจ้าหน้าที่จะต้องเรียกมาสอบสวนอีกครั้ง
พล.ต.ต.พิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการลงพื้นที่วันนี้ ตนและเจ้าหน้าที่ได้มาดูพญานาคของกลาง ที่สร้างในพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งกรณีนี้ในที่ประชุม เจ้าหน้าที่ได้ให้ฝ่ายปกครองไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน พิจารณาดูว่าสมควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ถ้าหากว่าทางชุมชนอยากจะเอาพญานาคไว้ จะสามารถมีช่องทางไหนบ้าง ที่จะสามารถขออนุญาตได้ แต่ประเด็นสำคัญต้องไม่เป็นของเอกชน และเกิดประโยชน์กับชาวบ้านกกกอก ส่วนตัวแล้วตนก็รู้สึกเสียดาย หากมีการทุบ เพราะถือเป็นการสร้างที่สวยงาม อาจเป็นแลนด์มาร์กของกกกอกต่อไปก็ได้
โดยจังหวะนี้ ก็มีชาวบ้านบางส่วน และยูทูเบอร์ส่งเสียงเฮ และปรบมือ สำหรับพญานาคดังกล่าว อาจมีการต่อเติมทาสี หรือปล่อยไว้แค่นี้ก็ได้ บางครั้งแลนด์มาร์กไม่จำเป็นต้องเสร็จ 100% ก็ได้
