สาวฆ่าหั่นศพผัวก้มหน้ารับกรรมปัดกิ๊กหลาน ย้อนอดีต "เสี่ยสุบิน" สุดอู้ฟู่หมดตัวเพราะเมีย (คลิป)

กรณีการเสียชีวิตของ นายสุบิน เกตุหิรัญ หรือ ตี๋ ถูกนางวาสนา เข็มขาว หรือ จอย และนายอนันตชัย ถิ่นชัยโย อ้างว่าเป็นหลานของนางวาสนา ใช้มีดสปาต้าแทงอกเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 ก่อนนำร่างหั่นและไปทิ้งในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อ 1 มี.ค. 64 ก่อนเจ้าหน้าที่สืบทราบจนจับกุมตัวได้ที่บ้านพักใน จ.นนทบุรี

เมื่อเวลา 08.50 น. ที่โรงพัก สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ร.ต.อ.ภูวสิษฐ์ กิตต์นิธิรัชฏ์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.วังน้อย ได้เบิกตัว นางวาสนา เข็มขาว และนายอนันตชัย ถิ่นชัยโย ผู้ต้องหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และซ่อนเร้นอำพรางศพ ออกจากห้องขังภายในโรงพัก เพื่อขึ้นรถส่งศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฝากขัง 

ซึ่งก่อนที่จะนำตัว นางวาสนา และนายอนันตชัย ขึ้นรถ ร.ต.อ.ภูวสิษฐ์ ได้รวบรวมซองสีนำตาลกว่า 10 ซอง ซึ่งเป็นหลักฐานที่นิติวิทยาศาสตร์รวบรวมเก็บได้ในที่เกิดเหตุ รวมถึงจุดที่มีการทิ้งอำพรางอุปกรณ์ โดยสังเกตว่ามีเชือก, ซองน้ำยาปรับผ้านุ่ม, อาวุธมีดที่ใช้หั่น, และเสื้อผ้าบางส่วน เพื่อนำไปแสดงต่อศาลในการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย

นางวาสนา บอกว่า ตนเองกับนายอนันตชัยยืนยันว่าเป็นญาติพี่น้องกัน คือน้าหลาน ไม่ได้คบหาและไม่ได้มีประเด็นชู้สาวเกิดขึ้น และการก่อเหตุครั้งนี้ก็เป็นการก่อเหตุเพียง 2 คน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะชายเสื้อเหลืองที่ปรากฏอยู่ในคลิปจากกล้องวงจรปิด

นอกจากนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ตนเองได้เจอกับลูก ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ยอมรับว่าใจสลาย แต่ตนเองก็อยากจะชดใช้กรรมแล้วกลับมาดูแลลูกให้เร็วที่สุด ช่วงนี้ก็ยังอุ่นใจ เพราะมีญาติมารับไปช่วยดูแล

ตนเองก็ฝากญาติช่วยดูแลลูกของตัวเองแล้ว และยังมีโอกาสบอกกับลูกว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ทั้งนี้ การก่อเหตุไม่ได้เจตนาที่จะฆ่านายสุบินให้ถึงแก่ความตาย เพราะเกิดจากการพลั้งมือ เป็นเพราะต้องการไล่ออกจากบ้านเท่านั้น และเหตุผลที่ต้องไล่นายสุบินออกจากบ้าน เพราะตนถูกทำร้ายร่างกายตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่นายอนันตชัย หลานนางวาสนา เปิดเผยว่า ในช่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองคิดอะไรไม่ออก ได้ช่วยนางวาสนาก่อเหตุ คิดอยู่อย่างเดียวคือความกลัว แต่ในจังหวะก่อนที่จะก่อเหตุถูกนายสุบิน น้าเขยทำร้ายร่างกายตนเองก่อน ทั้งที่พยายามผลักออกจากตัวแล้วก็ตาม แต่นายสุบินก็ยังไม่หยุดความรุนแรง ตนเองจึงตัดสินใจนำมีดมาป้องกันตัว แต่นายสุบินก็ยังพยายามเข้ามาใกล้และทำร้ายตนเองต่อเนื่อง จังหวะนั้นตนเองได้นำมีดขึ้นมายกป้องกันเอาไว้ จากนั้นก็เกิดการพลั้งมือแทงโดนนายสุบินถึงแก่ความตาย

ส่วนญาติของนายอนันตชัย พบว่ามีพี่สาวและน้าชายเดินทางมาที่โรงพัก ก่อนที่จะถูกนำตัวฝากขังต่อศาล โดยได้นำข้าวกล่อง ข้าวต้มมัด และน้ำดื่ม มาเยี่ยมที่โรงพัก แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ อ้างว่ายังทำใจไม่ได้ และคงไม่ประกันตัว ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

นางกิ่งแก้ว เข็มขาว พี่สาวของนางวาสนา เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจที่โรงพัก เปิดใจว่า หลังเกิดเหตุตัวเองก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว ต้องยอมปล่อยว่าง เพราะตอนนี้รู้สึกเหนื่อยใจ ไม่อยากเก็บเอามาคิด ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมในการตัดสินโทษ แต่หลังจากที่ทั้งคู่ถูกจับกุม ตนเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยและสอบถามหลายเรื่อง ทั้งคู่ไม่ได้พูดถึงการก่อเหตุ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทั้งคู่ก็จะเงียบ

ส่วนวันนี้ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะนำตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตัวเองก็ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการประกันตัว เพราะครอบครัวก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมทั้งคู่ถึงก่อเหตุ อีกทั้งจิตใจของตนเองก็ไม่อยากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ต่การเดินทางมาในวันนี้ ก็เพียงแค่ให้กำลังใจว่า "ให้ทำใจให้ดี เตรียมรับสิ่งที่ก่อเอาไว้ ทำตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นกาลเวลาก็จะเดินช้า ประกอบกับจะเกิดความเครียด เพราะคนเราคิดได้ปล่อยได้มันอยู่ที่ใจ ปลดปรง ปล่อยว่าง มันคือโลกอีกใบหนึ่งที่จะต้องยอมรับมัน"

อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่าจะยืนเคียงข้างและให้กำลังใจให้กลับตัวเป็นคนดี ไม่อยากตอกย้ำ เพราะเชื่อว่าก็เครียดและกดดันมาพอสมควร ส่วนเรื่องของครอบครัวนายสุบิน ผู้ตาย ตนเองก็ไม่มีอะไรฝากบอก และไม่มีอะไรกล่าวถึง ไม่อยากนึกถึง เชื่อว่าทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว

ทีมข่าวได้กล้องวงจรปิดที่ตรงข้ามปั๊มน้ำมัน ซึ่งบันทึกภาพช่วงคนร้ายขับรถผ่านหลังซื้อน้ำมันเสร็จได้ ช่วง 02.54 น. ของวันเกิดเหตุ

ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.ราชพฤกษ์ ห่างจากบ้านนางวาสนาราว 20 กิโลเมตร เป็นจุดแวะจอดรถเพื่อซื้อน้ำมันใส่แกลลอนใช้เป็นเชื่อเพลิงเผาร่างนายสุบิน นายบีม (นามสมมติ) พนักงานปั๊มที่เข้าเวรช่วงดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนเองอยู่เวรช่วงกลางคืน ถึงเช้าพอดีในวันดังกล่าว ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนเติมน้ำมันให้กับคนร้าย แต่ตอนนั้นตนเองนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ และนั่งมองมาที่หัวจ่าย พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใส่กางเกงขาสั้น เสื้อสีขาว ถือแกลลอนน้ำมันเข้ามาเพื่อเติมน้ำมัน ตอนนั้นตนเองแอบคิดในใจว่าผู้หญิงอะไรมาซื้อน้ำดึกดื่น และเป็นการเดินเท้ามาเพียงคนเดียว

ทั้งนี้ คนร้ายไม่ได้นำรถเข้ามา ตนเองจึงไม่ทราบว่าจอดรถที่จุดใด หลังจากนั้นเพื่อนตนอีกคนเป็นคนเติมน้ำมันให้คนร้าย คนร้ายไม่ได้พูดอะไร เติมน้ำมันเสร็จก็ชำระเงินและออกไป ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ส่วนตัวที่จำได้เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีผู้หญิงคนไหนเดินมาคนเดียว และมาซื้อน้ำมันใส่แกลลอน จึงทำให้จดจำง่าย

ส่วนตัวเท่าที่สังเกตคนร้ายดูท่าทีนิ่ง ไม่ได้ดูรีบหรือดูตกใจ อาการไม่เหมือนคนสำนึกผิด เย็นชา หากคนสำนึกผิดไม่น่ามีอาการนิ่งขนาดนี้ ตนคิดว่าคนก่อเหตุซาดิสม์เกินไปที่ใจเย็นนั่งหั่นชิ้นส่วนมนุษย์ทีละชิ้นแล้วเอาไปเผาทิ้ง

ขณะที่ทีมข่าวได้พูดคุยกับชายเสื้อเหลือง ที่อยู่ในกล้องวงจรปิดช่วงหลังคนร้ายทั้ง 2 คนก่อเหต ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่เพียงรถจอดอยู่ใกล้กันเท่านั้น เปิดเผยว่า ตนเองเห็นรูปจากวงจรปิดที่นำเสนอข่าวจึงได้ติดต่อคุยกับนิติของอาคาร โดยทางนิติได้สอบถามตนเรื่องนี้ ส่วนตัวยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ตนเองทำอาชีพเป็นครู เพื่อนครูก็สอบถามว่าตนไปเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่ ตนเองยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้อง เพียงแค่เดินสวนกันเท่านั้นในช่วงเช้า ตนเองไม่รู้จัก 2 คนร้าย และไม่ทราบว่าเขาไปก่อเหตุ ส่วนที่ตนไปวนเวียนอยู่ที่รถคนร้าย เพราะตนเองจะเข้ารถตัวเอง และตอนนั้นหาถุงสิ่งของที่ตนเองเตรียมมาด้วยประกอบกับตนสายตาสั้นทำให้ไม่เห็นอะไร ไม่ทันเห็นว่าท้ายกระบะมีอะไร ยอมรับว่าตนจอดรถไว้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ. และไม่ได้ไปไหนวันที่ 28 ก.พ. ตนเองอยู่ห้องทั้งวัน จนกระทั่งช่วงเช้าวันจันทร์จะไปทำงาน จึงใส่เสื้อสีเหลือง

ทีมข่าวเดินทางมาที่หมู่บ้านเกิดเหตุใน จ.นนทบุรี บรรยากาศหมู่บ้านเงียบสนิท ทีมข่าวได้วงจรปิดของบ้านในซอยที่เกิดเหตุ ห่างจากบ้านของนางวาสนา 4 หลัง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพได้ตอนที่รถกระบะออกจากชุมชน เห็นไฟของรถกระบะที่ใช้ขนศพนายสุบินกำลังออกจากบ้าน

เวลา 02.23 น. รถผ่านกล้องเห็นท้ายกระบะมีขนของ พร้อมทั้งมีคล้ายกับโต๊ะไม้ 4 เหลี่ยมทับผ้าไวนิลสีขาวไว้ ขับมุ่งหน้าออกไปที่ปากซอย ช่วงเวลา 7.39.49 น. ของวันที่ 1 มี.ค. 64 จะเห็นวินจักรยานยนต์ขับรถผ่านกล้อง นางวาสนาใส่เสื้อสีแดง ใส่หน้ากากอนามัย มุ่งหน้าเข้าบ้านผ่านกล้อง ขับผ่านมุ่งหน้าเข้าบ้าน เวลา ช่วง 07.42 น. วินจักรยานยนตค์มาส่งนายอนันตชัย

จากนั้น เวลาช่วง 02.20 น. ของวันที่ 2 มี.ค.64 พบคนร้ายกลับเข้ามาที่หอพักที่จอดรถ ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา 2 คน ผู้หญิงซ้อนท้าย ขับมุ่งตรงเข้าไปที่ท้ายซอยที่จุดจอดรถ

นางพิศมัย (นามสมมติ) แม่ค้าในซอย เปิดเผยว่า ตนเองก็รู้จักกับนายสุบิน เพราะคือลูกค้าที่ที่ร้าน มาซื้อเหล้าประจำ เมื่อก่อนนายสุบิน คนแถวนี้จะเรียกว่า "เสี่ยบิน" รวยขนาดนางวาสนาขับรถเบนซ์ ตอนนั้นตนยังคิดว่าคุณนายที่ไหน คนเขาก็บอกว่าเมียเสี่ยบิน หลัง ๆ มานายสุบินไม่ค่อยมีเงิน จนลง ๆ ซึ่งเริ่มค้างเงินค่าเหล้ากับตน 7-8 ปี ราว 800 บาท จะลงชื่อเอาไว้เวลามาซื้อของ ซึ่งมาคืนบ้างเล็กน้อย แล้วก็มาเอาสินค้าไปใหม่

ตนเคยถามทวงเขาก็มักบอกว่ายังไม่มี ขอไปทำงานก่อน ตนเองก็เลิกทวง อย่างไรก็ตาม นายสุบินก็ยังมาซื้อเหล้าตนอยู่เรื่อย ๆ แต่จะจ่ายเงินสดแทน ถ้าทวงเงินเก่าก็ไม่มีคืน ตอนนี้ตายแล้ว ตนก็ไม่รู้จะไปทวงจากใคร ทวงจากนางวาสนาก็ไม่ได้ ทำให้วันที่เจอหัวนายสุบิน ตนเองก็บอกกล่าวไปว่าตนเองยกหนี้ให้ ส่วนตัวเจอนายสุบินล่าสุดวันศุกร์ที่ 26 ก.พ. ได้คุยกันเล็กน้อย จากนั้นตนก็กลับบ้านต่างจังหวัด ที่ผ่านมาตนเคยถามนายสุบินว่าทำไมไม่กลับไปบ้านเกิด เพราะรู้ว่าบ้านเกิดมีฐานะ นายสุบินเคยบอกว่าที่ไม่กลับเพราะห่วงลูก 2 คน จึงกลับไปบ้านไม่ได้ แต่จะกลับเข้าบ้านเมียก็จะไล่ออกจากบ้าน ไม่ให้เข้าบ้าน

ส่วนตัวไม่เคยคุยกับวาสนาเคยเห็นแต่ลูก ๆ ของสุบินที่มาซื้อข้าวเปล่าทุกวัน ตนเองก็เคยคุยกับลูกนายสุบินเป็นเด็กน่ารัก พอมาเกิดเรื่องแบบนี้ตนก็สงสารเด็ก ๆ ส่วนตัวเคยรู้ว่านายสุบินเคยถูกเมียทำร้ายร่างกาย เคยมีแรงงานกัมพูชาที่กินเหล้ากับสุบินที่บ้าน ก็เคยมาเล่าว่านั่งสังสรรอยู่ดี ๆ เมียนายสุบินก็เข้ามาใช้ของแข็งฟาดศีรษะจนหัวแตก ตนยอมรับว่าตกใจที่เกิดเรื่องแต่ไม่กลัว ชาวบ้านแถวนี้ยังแซวว่าระวังนายสุบินจะมายื่นมือขอเหล้ากิน เพราะสุบินเคยมาซื้อเป็นประจำ แต่ถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นมา