พรานป่าคาดศพชมพู่ซุกกอไผ่ก่อนหิ้วขึ้นเขา จับไต๋คนไร้พยานเห็นส่อซวย (คลิป)

กรณีทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ทดสอบนำถังน้ำ น้ำหนัก 12 กิโลกรัม ยัดลงไปในกระสอบสีขาว เพื่อจะนำไปทดสอบจำลองยกขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ เมื่อไปถึงบริเวณกอไผ่จุดที่พ่อแบมพบเห็นชายปริศนา ทีมข่าวใช้มือถือ เริ่มต้นจับเวลา ช่วงที่ผ่านมาเป็นฤดูฝนทำให้หญ้ารก ประกอบกับชาวบ้านไม่ค่อยใช้เส้นทาง เนื่องจากเป็นช่วงที่ไม่มีของป่าหรือเห็ด จึงทำให้ทางค่อนข้างรก แต่หลังจากพ้นจากเส้นทางดังกล่าวแล้ว ก็จะมีต้นหญ้าโตสลับกับไม้บนภูเหล็กไฟ

แต่เมื่อถึงจุดระยะ 150 เมตรแรก หลังจากที่ขึ้นตรงมาจากกอไผ่ จะมาเจอทางสามแยก ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่เชื่อมมาจากสวนมันหลังบ้านน้องชมพู่ เป็นจุดที่ทีมข่าวเคยใช้ขึ้นลงภูเหล็กไฟ และใช้ทดสอบจำลองเส้นทางในแต่ละครั้ง หากย้อนลงไปบริเวณจุดสามแยก ลงไปด้านล่างจะไปเจอกับแท็งก์น้ำ โดยจะใช้ระยะทางประมาณ 200 เมตร ดังนั้นหากขึ้นจากทางลัด ซึ่งเป็นหลังกอไผ่ จะร่นระยะทางได้ 50 เมตร

หลังจากผ่าน บริเวณสามแยกซึ่งเป็นจุดเชื่อมจากเส้นทางเดิม หรือเส้นทางเก่าที่เคยใช้ขึ้นลงจากบ้านน้องชมพู่ไปยังจุดพบศพ ก็จะกลับไปใช้เส้นทางเดิมที่เคยใช้ขึ้นลงเป็นประจำ และเป็นเส้นทางที่ทีมข่าวเคยขึ้นลงไม่ต่ำกว่า 15 ครั้ง โดยจะผ่านไปยังจุดต่าง ๆ ที่เป็นพักสำคัญ (พัก 1,2,3,4) หรือแม้แต่โขดหินสูงชัน ก็ยังเดินตามเส้นทางเก่าทั้งหมด

ดังนั้น จากจุดหลังกอไผ่บ้านพ่อแบม ไปยังจุดพบศพ จะเป็นลักษณะทางตรงมากที่สุด และใช้ระยะทางเพียง 1.5 กม. จากเดิมที่ทีมข่าวเคยทดสด หากใช้เส้นทางหลังบ้านน้องชมพู่ ผ่านบริเวณไร่มันสำปะหลัง จะมีระยะทาง 1.2 กม. ซึ่งรวมระยะเวลา 52.25 นาที โดยทีมข่าวได้แวะพัก 2 ครั้ง ที่พัก 1 และพัก 2 จุดละ 5 นาที

อย่างไรก็ดี ทีมข่าวย้อนเหตุการณ์จำลองเดินขึ้นเขาภูเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.63 โดยเริ่มจากบ้านน้องชมพู่ ขาขึ้นไปทีมข่าวใช้เวลา 42.25 นาที ส่วนขาลงใช้เวล่เพียง 29.14 นาที รวมเวลา 1 ชม. 27 นาที 40 วินาที 

ล่าสุดวันที่ 15 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้สำรวจบริเวณจุดกอไผ่จุดที่พ่อแบมเคยให้ข้อมูลว่า เห็นบุคคลปริศนา ซึ่งจากการที่ทีมข่าวไปดูในวันนี้ พบว่าก่อไผ่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะเริ่มรกมากขึ้น เนื่องจาก 3-4 วันก่อนมีฝนตกหนัก ทำให้ต้นไม้ในบริเวณกอไผ่เริ่มแตกยอด

ทีมข่าวได้ไปสอบถามคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่คนร้ายขึ้นเขาจากกอไผ่ แล้วลงห้วยบุ่ง มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1.พรานคล้าย บอกว่า “เป็นไปได้”
2.นายหม่อง บอกว่า “ไม่แน่ใจ”
3.นายบุญทัน บอกว่า “เป็นไปได้” 

ทีมข่าวไปพูดคุยกับนายนรินทร์ หลาบโพธิ์ หรือ น้าแต เปิดเผยว่า ตนไม่ได้รู้สึกเสียดายที่หมายจับไม่ออกในวันนี้ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่า หมายจับจะออกในเดือนเม.ย.64 ตนก็จะรอ

เพราะทุกวันนี้ครอบครัวของตนยังคงรออย่างมีความหวัง และเชื่อว่าตำรวจจะคืนความยุติธรรมให้กับพวกตน สามารถจับคนร้ายได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้านายอัจฉริยะ จะเดินทางมาที่หมู่บ้านกกกอก ตนก็ยินดีต้อนรับ และยินดีให้ข้อมูลคุยกับเขา

นายจตุรงค์ จงอาษา หรือ “อาจารย์จตุรงค์” นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา มองว่า การที่พระพล และฤๅษีคัมภีร์มาอ้างถึง “ดวงธรรม” หากเปรียบเทียบ จะเหมือนกับวิชาของวัดพระธรรมกาย ของหลวงพ่อสด ที่นั่งสมาธิ ไปถึงฐาน 7 แล้ว จะเห็นดวงแก้วใส ๆ ซึ่งก็คือ ดวงธรรม

ขณะเดียวกันคำสอนของพระพุทธเจ้า บอกไว้ว่า ถ้าได้ฌานมา อย่าไปคุยโม้ โอ้อวด ให้เก็บเอาไว้ กรณีของพระพล อวดอุตริที่บอกว่าเห็นดวงธรรม หรือดวงธรรมมาบอก รวมทั้งเรื่องถอดจิต ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีจริง พระพล ทำได้จริง ก็จะถูกปรับอาบัติสถานเบา ปลงอาบัติได้ ถ้าไม่มีจริง จะต้องถูกจับปราชิก สึกจากความเป็นพระทันที

อาจารย์จตุรงค์ มองว่า หากมีการพิสูจน์จริง ๆ ว่าพระพล อวดอุตริหรือไม่ ก็น่าจะทำได้ว่า เช่น บอกว่าถอดจิตออกไปหาฤๅษีได้ สื่อสารกันได้ ก็ลองจับมานั่งห่าง ๆ กันแล้วให้สื่อสารกันดูว่า จะถอดจิตคุยกันได้หรือไม่ 

ส่วนฤๅษีคัมภีร์ เป็นคนทั่วไป ไม่มีสังกัดมาควบคุมดูแล จะมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 บัญญัติว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”