เมื่อวันที่ 29 ม.ค.64 ศูนย์วิทยุร่มโพธิ์ทอง สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้รถขนเงิน ที่บริเวณถนนมิตรภาพขาเข้า อ.เมือง จ.อุดรธานี เวลาต่อมาศูนย์วิทยุรายงานแก้ไขว่าเป็นรถส่งผู้ต้องหาของ สภ.หนองแสง นำผู้ต้องหา 4 คนมาฝากขังที่ศาล จ.อุดรธานี มีผู้ต้องหาหลบหนีการควบคุมไป 1 คน
โดยที่เกิดเหตุพบรถส่งผู้ต้องหาของ สภ.หนองแสง เป็นรถกระบะ ทะเบียน ฮฐ-2946 กรุงเทพมหานคร ดัดแปลงกระบะท้ายเป็นที่คุมขัง จอดอยู่ริมถนนมิตรภาพ ปากซอยราษฎร์บำรุง หันหน้าเข้าเมือง มีไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงไปทั่วคัน
โดยมีรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลบ้านจั่น 1 คัน ระดมฉีดน้ำจนเพลิงสงบ รถเสียหายทั้งคัน และบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ ริมถนนเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.โนนสูง อ.เมือง ควบคุมผู้ต้องหาไว้ 3 คน เป็นผู้ต้องหาคดีเสพยาบ้า คือ นายอนันตชัย ทำประชม อายุ 23 ปี นายอนุชา ธุลลี อายุ 18 ปี ถูกใส่กุญแจมือไว้ด้วยกัน และนายเล็ก (นามสมมติ) อายุ 17 ปี มีอาการเจ็บหน้าอก มีหน่วยกู้ชีพปฐมพยาบาล และนำส่ง รพ.อุดรธานี
ร.ต.ต.มนตรี สารพันธุ์ รองสวป.ทำหน้าที่ขับรถส่งผู้ต้องหาคันที่ถูกเพลิงไหม้ ได้วิ่งติดตามจับกุมนายสมสมัย อายุ 46 ปี ผู้ต้องหามียาเสพติดเพื่อจำหน่าย ของกลางยาบ้า 68 เม็ด และยาไอซ์ 3.37 กรัม ที่หลบหนีไปเข้าซอยราษฎร์บำรุงที่สามารถทะลุออกไปยังถนนบ้านคำกลิ้ง-บ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง
โดยมีพ.ต.อ.ประเสริฐศักดิ์ ฝอยกลาง ผกก.สภ.หนองแสง พร้อมร.ต.อ.เจริญฤทธิ์ มีหินกอง รองสว.(สอบสวน) สภ.หนองแสง เจ้าของคดี และกำลังเดินทางมาสมทบสอบสวนปากคำผู้ต้องหา 2 คน ระบุว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับเสพยาบ้ากับเพื่อน 3 คน ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สภ.หนองแสง ต่อมานายสมสมัย ผู้ต้องหาคดีเสพและขายยาเสพติด ไม่รู้จักกันมาก่อน ถูกนำตัวมาขังไว้ที่เดียวกันจนเช้า ตำรวจได้นำตัวขึ้นรถเพื่อเอามาฝากขังที่ศาล จึงขึ้นรถมาด้วยกัน 4 คน นายอนันตชัย ถูกใส่กุญแจมือติดกับนายสมสมัย นายอนุชาใส่กุญแจมือคนเดียว ส่วนนายเล็ก ไม่ได้ใส่กุญแจมือ
ผู้ต้องหา 2 คน ยืนยันว่านายสมสมัย มีไฟแช็กเพราะเห็นสูบบุหรี่ แต่ขณะที่นั่งรถมานายอนันตชัย อ้างว่านอนหลับ แต่นายอนุชายืนยันว่าเห็นนายสมสมัย ใช้ไฟแช็กเผาที่ช่องแอร์จนไฟลุกไหม้มีควันจำนวนมาก จึงเคาะกระจกบอกตำรวจที่ขับรถ ให้เปิดประตูด้านหลังออกมา ส่วนนายสมสมัย โวยวายว่ากุญแจมือแน่น ตำรวจจึงคลายกุญแจให้ และอาศัยชุลมุนได้วิ่งหลบหนีไป
กระทั่งเวลา 14.45 น. หรือผ่านไป 1 ชม. 15 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี และภ.จว.อุดรธานี นำโดยพ.ต.อ.อารี สินธุรา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.อ.พันธุ์เพ็ชร เหล่ากำเนิดเพชร ผกก.สส.ภ.จว.อุดรธานี สามารถติดตามจับกุมนายสมสมัย ผู้ต้องหาที่หลบหนีได้ในท่อระบายน้ำ เจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนจุดไฟเผารถ ไม่ได้สูบบุหรี่ ไม่มีไฟแช็ก ไม่รู้ไฟไหม้ได้อย่างไร ตัดสินใจหลบหนีเพราะได้โอกาส และคิดถึงภรรยาที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัด
นายสมสมัย กล่าวว่า ตนอาศัยจังหวะช่วงไฟไหม้หลบหนี โดยให้ตำรวจที่ควบคุมตัวมาช่วยปลดกุญแจให้ เพราะรถเกิดไฟไหม้ จากนั้นลงมารออยู่นอกรถ กินน้ำล้างหน้าเสร็จอาศัยจังหวะนี้วิ่งหลบหนี ซึ่งตนไม่ได้เป็นคนจุดไฟเผา ไม่ได้มีไฟแช็กติดตัว และไม่ทราบว่าทำไมรถถึงเกิดไฟไหม้ เพราะตอนที่ตนออกมาไฟไหม้รถแล้ว ตอนนั้นทุกคนเริ่มหายใจไม่ออกมันมีไฟออกมาตรงช่องแอร์ด้านหลังของรถ
แต่โชคดีที่ตำรวจเปิดประตูด้านหลังรถได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงจะตายกันหมด ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนจุดไฟ ส่วนที่ตนตั้งใจวิ่งหนี เพราะว่าภรรยาจะเข้าผ่าตัดมดลูกในวันที่ 7 ก.พ.64 ตนคิดถึงและเป็นห่วงภรรยามาก ซึ่งตอนที่อยู่ สภ.หนองแสง ภรรยาก็เดินทางมาเยี่ยมตน ทำให้ตนเป็นห่วงเลยตัดสินใจหนี
พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เปิดเผยว่า หลังจากได้รับรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว โดยรถควบคุมตัวผู้ต้องหากำลังจะไปส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่เรือนจำกลางอุดรธานี หลังจากที่พนักงานสอบสวนได้ทำการฝากขังต่อศาลจ.อุดรธานี ผ่านทางวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เสร็จแล้ว ซึ่งเหลือระยะทางอีก 9 กม. จะถึงเรือนจำ แต่มาเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้รถควบคุมผู้ต้องหาขึ้น
“หลังจากเรานำตัวมา และได้ทำการสอบผู้ต้องหาอีก 3 คน ที่ไม่ได้หลบหนี โดยถือว่าเป็นประจักษ์พยานในคดีนี้ ซึ่งทั้ง 3 คน ยืนยันชัดเจนว่า เหตุเพลิงไหม้เกิดจากผู้ต้องหาคนที่หลบหนีที่มีเจตนาใช้ไฟแช็กเผาบริเวณช่องแอร์ เพื่อให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา ก่อนเขาจะหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงระดมกำลังจนสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีได้”
พล.ต.ต.พิษณุ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นจะดำเนินการเป็น 2 ส่วน ซึ่งส่วนแรกจะดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหาที่หลบหนีในข้อหาหลบหนีจากการคุมขัง และจะแจ้งจ้อกล่าวหาเพิ่มคือวางเพลิงเผาทรัพย์ทำให้เสียทรัพย์ ส่วนที่ 2 จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า ลักษณะเหตุที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง โดยทางตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้เข้ามาตรวจสอบเพื่อหาความจริงอีกส่วนหนึ่ง ในการหาสาเหตุเพลิงไหม้คงต้องใช้เวลาบ้าง จึงจะทราบสาเหตุเพลิงไหม้ที่แท้จริงได้ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ต้องหาว่าก่อเหตุเพื่อที่ต้องการหลบหนีจริงหรือไม่
ทีมข่าวเข้าไปพูดคุยกับนางสา ชาญฉลาด อายุ 65 ปี ชาวบ้านละแวกดังกล่าว เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ปกติพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ของญาติพี่น้อง ซึ่งยังไม่มีการแบ่งสรรปันส่วน เป็นที่รกร้าง ซึ่งตนอาศัยอยู่กับสามีที่ป่วย ประตูหน้าบ้านไม่เคยเปิด จะถูกคล้องด้วยโซ่ตลอด
ขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 14.00 น. ตนกำลังเปลี่ยนแพมเพิสให้สามี ได้ยินเสียงสังกะสีตรงประตูหน้าบ้าน จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนงานด้านหน้าบ้านวิ่งตามเข้ามา โดยบอกกับตนว่ามีโจรวิ่งเข้าบ้าน พอตนทราบข่าวก็รู้สึกตกใจ และรู้สึกกังวลใจมาก เนื่องจากผู้ต้องหาหลบหนีเข้าไปในป่าแล้วยังหาตัวไม่เจอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ระดมกำลังกันเข้ามาในพื้นที่ ใช้เวลามากกว่า 1 ชม.ในการค้นหาตัว กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเจอตัวในท่อระบายน้ำ ซึ่งห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 150 เมตร
ส่วนตัวรู้สึกโล่งใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับตัวผู้ต้องหาได้ ไม่เช่นนั้นตนคงไม่สบายใจ เพราะว่าไม่นานโจรก็คงหิวและอาจจะออกมาจากป่า ตนอยู่กับสามีที่ป่วยเพียงลำพัง ถ้าจะมาขอแค่ของกินคงไม่เป็นอะไร แต่กลัวจะเข้ามาทำร้ายมากกว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่น่าตกใจที่สุดในชีวิต