จุดธูปซุกผ้าไฟก็ไม่ไหม้ ชาวบ้านโต้จัดฉาก ปมไฟปริศนาไหม้ อึ้งลุกอีก แต่มีเด็กอยู่ (คลิป)

กรณีเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ขึ้นเองภายในบ้านเรือนของชาวบ้าน 4 หลัง ในพื้นที่ ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี จนทำให้เจ้าของบ้านวอนขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะตอนนี้เดือดร้อนต้องขนของออกมาอาศัยอยู่นอกบ้าน ล่าสุดวันนี้ (18 พ.ค. 61) รายการต่างคนต่างคิด ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์, นายเสถียร สังฆธรรม เจ้าของบ้านหลังแรกที่เกิดไฟลุกไหม้, นางภาพิมล สรรพศรี เจ้าของบ้านหลังที่ 2 ที่เกิดไฟลุกไหม้ และพ.ต.ท.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

โดย รศ.ดร.วีรชัย บอกว่า ได้เห็นข่าวในลักษณะนี้ออกมาเป็นระยะ เหมือนหนังซ้ำที่เคยเกิดขึ้นที่ จ.พัทลุง ที่เจ้าของบ้านยังไม่ยอมรับว่าเป็นฝีมือมนุษย์ทั้งที่ภาพปรากฏชัดเจน และก่อนหน้าเหตุการณ์ที่ จ.จันทบุรี ไม่นาน เคยมีเหตุลักษณะเดียวกันที่ จ.กำแพงเพชร เมื่อตนจะเอากล้องอินฟาเรดลงไปตรวจจับ แต่เจ้าของบ้านได้นิมนต์พระมาแล้วบอกนักข่าวว่า ไม่มีไฟปริศนาแล้ว รศ.ดร.วีรชัย อธิบายหลักการเกิดไฟว่า จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ เชื้อเพลิง อากาศ และแหล่งกำเนิดความร้อน แต่ตนยังไม่เคยเห็นว่า ใต้ผ้าห่มที่ไฟลุกไหม้นั้นมีอะไรเป็นแหล่งกำเนิดความร้อน จึงอยากเห็นภาพวงจรปิดก่อนหน้านั้นด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รศ.ดร.วีรชัย กล่าวต่อว่า ปรากฎการณ์ไฟลุกไหม้ขึ้นเองนั้นเกิดขึ้นได้ แต่ก็ต้องมีองค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟ ซึ่งชาวบ้านระบุว่า ไฟมักจะไหม้ในช่วงที่อากาศชื้น ทั้งที่ความชื้นกับไฟไม่ถูกกัน แม้จะมีธาตุบางตัวทำปฏิกิริยาในความชื้นทำให้เกิดไฟได้ แต่ธาตุตัวนั้นก็ไม่สามรถพบเจอได้โดยทั่วไป ทั้งนี้ รศ.ดร.วีรชัย เราสามารถหน่วงเวลาในเกิดเพลิงได้ เช่น จุดธูปบนพื้นน้ำมัน

ขณะที่นายเสถียร ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านการวิดีโอคอลมาจากบ้าน จ.จันทบุรี เปิดเผยสาเหตุที่กล้องไม่สามารถจับภาพช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุไฟไหม้กองผ้าห่มหน้าบ้านเมื่อวานนี้ได้ เนื่องจากช่วงเวลานั้นเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าดับ แต่มีกล้องตัวอื่นสามารถยืนยันได้ว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นในช่วงเวลาเกิดเหตุ นอกจากนี้ ผ้าห่มผืนที่ไหม้ก็เป็นผ้าที่ทีมข่าวให้นำไปวางทิ้งไว้ในจุดที่เกิดไฟลุกไหม้บ่อยครั้ง ซึ่งช่วงเวลาที่เกิดไฟไหม้จะเกิดได้ทั้งกลางวันกลางคืน เกิดบ่อยช่วงบ่าย 3 - 4 โมง และค่ำสุดคือราว 2 ทุ่ม ส่วนถ้าดึกกว่านั้นก็เพียงได้กลิ่นไหม้ แต่ไม่เห็นประกายไฟ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าไม่เชื่อไสยศาสตร์ อย่างไรก็ดี ระหว่างรายการออกอากาศสด นายเสถียรแจ้งว่า เกิดประกายไฟกำลังลุกไหม้บ้านอีกหลังอยู่ โดยนางภาพิมล เจ้าของบ้านหลังดังกล่าววิดีโอคอลให้สัมภาษณ์ในรายการ ภายหลังดับไฟได้แล้วว่า เกิดไฟไหม้มุ้งที่นำมาวางทิ้งไว้หน้าบ้าน โดยขณะนั้นไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว นอกจากเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่ ซึ่งก่อนเกิดเพลิง พวกตนซึ่งอยู่ที่บ้านนายเสถียรได้กลิ่นฉุนคล้ายพลาสติกไหม้ แบบเดียวกับทุกครั้งที่ก่อนจะพบเพลิง จึงกำลังตามหากันอยู่ ต่อมามีเด็ก ๆ วิ่งมาบอก จึงได้รีบวิ่งไปดับไฟ นางภาพิมลยืนยันว่า ไม่ใช่ฝีมือเด็ก แต่เชื่อว่า เกิดจากตอนขุดบ่อบาดาล ซึ่งส่วนใหญ่ไฟจะลุกไหม้ประเภทหมอน มุ้ง ผ้านวมที่เป็นใยสังเคราะห์ หรือพลาสติกเป็นส่วนใหญ่

โดย รศ.ดร.วีรชัย บอกว่า ถ้าปฏิกิริยาเกิดไฟตามธรรมชาติ จะไม่จำเพาะเจาะจงเรื่องเวลาเกิด หากชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพาะสาเหตุการขุดบ่อบาดาล หรือบ่อแร่ ตนมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแม้แต่ของไวไฟ หากวางอยู่เฉยๆ ก็ไม่สามารถติดไฟได้ ถ้าไม่มีประกายไฟ ดังนั้นต่อให้ขุดเจอบ่อน้ำมัน ถ้าไม่มีประกายไฟก็ไม่สามารถติดไฟได้ อีกทั้งตั้งข้อสังเกตว่า อาคารหลังที่อยู่ใกล้บ่อ มากกว่าบ้านที่ถูกไฟไหม้ทำไมยังไม่เคยเกิดเพลิง แต่ทำไมถึงไปไหม้บ้าน 4 หลังที่เป็นเครือญาติ ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่า รศ.ดร.วีรชัย บอกอีกว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เพราะมันขัดต่อหลักการทางวิทยาสาสตร์หลายอย่าง จึงต้องติดตามว่าเกิดจากสาเหตุอะไร หลังจากนี้จะต้องพิสูจน์ ทุกอย่างต้องเป็นเหตุผล โดยจะให้ลูกศิษย์เอากล้องอินฟาเรดไปบันทึกภาพ หากถึงตอนนั้นยังไม่เจอสาเหตุจริง ๆ ก็ต้องกลับมาคุยอีกครั้ง

ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ชาวบ้านมีอาการไพโรมาเนีย ซึ่ง พ.ต.ท.หญิง พญ.อัญชุลี อธิบายว่า โรคไพโรมาเนีย หรือ โรคชอบจุดไฟ เกิดจากการขาดความยับยั้งชั่งใจ คนที่มีอาการแบบนี้ จะรู้สึกสบายใจ หรือผ่อนคลายที่ได้จุดไฟ ไม่หวังผลว่าจะได้รับความสนใจจากผลการกระทำนั้นหรือไม่ ทำเพราะแค่อยากทำ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และไม่มีการวางแผนมาก่อน โดยมากจะเกิดในเด็กและวัยรุ่น แต่ถ้าไม่หายอาจจะเป็นต่อเนื่องไปจนถึงวัยชรา

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ยังคงอยู่ในพื้นที่ต.สามพี่น้อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ซึ่งวันนี้ นายอำนวย สติเวปุล อายุ 54 ปี ชาวจังหวัดสระแก้ว ได้เดินทางเข้ามาที่บ้านของนายเสถียร เพื่อดูเพลิงไหม้ปริศนา พร้อมเปิดเผยว่า ตนเดินทางมาจากจังหวัดสระแก้ว เพื่อมาเข้าชมปรากฏการณ์การเกิดเพลิงไหม้ด้วยตาของตัวเอง ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม ตนไม่คิดว่าเจ้าของบ้านจะจุดบ้านตัวเอง

นอกจากนี้ นางสุกัญญา สังฆธรรม ภรรยาของนายเสถียร เปิดเผยว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์ตนกำลังดูแฟนให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอยู่ จึงได้บอกให้เด็กๆ ไปอยู่ที่บ้านหลังที่ 2 เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ขณะนั้นเด็กๆ บอกว่า เกิดเหตุเพลิงลุกไหม้ที่บ้านหลังที่ 2 ซึ่งลูกชายเล่าให้ตนฟังว่า ตอนนั้นกำลังนั่งเล่นอยู่ภายในห้องนอน แล้วเพื่อนลูกบอกว่า ได้กลิ่นคล้ายสิ่งของไหม้ จึงออกไปดูแล้วพบว่ามุ้งที่วางตั้งไว้ที่บริเวณหน้าบ้านกำลังเกิดเพลิงไหม้ ลูกชายจึงนำมุ้งฟาดลงกับพื้นเพื่อดับไฟ นางสุกัญญา บอกว่า ลูกตนคุ้นชินกับการเกิดเพลิงไหม้ เพราะเจอมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน จึงไม่รู้สึกตกใจ ส่วนวิธีการดับไฟด้วยการนำสิ่งของที่ไหม้ฟาดลงกับพื้นตนเรียนรู้เอง ส่วนที่มีกระแสบอกว่าเป็นฝีมือของเด็กนั้น นางสุกัญญา บอกว่า เด็กภายในบ้านจุดไฟแช็คไม่เป็น เนื่องจากเป็นคนขี้กลัว แล้วไม่ชอบเล่นแผลงๆ และสุดท้ายนี้อยากให้นักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ ลงพื้นที่มาหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ทดสอบใช้ธูปจำนวน 4 ดอกจุดด้วยไฟแช็ค แล้ววางไว้ภายในผ้าประมาณ 5 นาที จะเห็นว่ามีควันค่อยๆ ลอยออกมาโดยไม่ได้เกิดการลุกไหม้เป็นเพลิงครั้งเดียว เหมือนที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิดก่อนหน้านี้ และเมื่อนำธูปออกมาดูจะพบว่าธูปดับไป 2 ดอกแล้ว เหลืออีก 2 ดอกที่ติดอยู่ ซึ่งสภาพผ้าจะมีรู 2 รู แต่ไม่ได้ขยายเป็นวงกว้าง แต่ถ้านำไฟแช็คมาจุดที่ผ้าจะเกิดเปลวเพลิงลุกไหม้ทันที แต่จากภาพกล้องวงจรปิดที่ทีมข่าวได้มา จะเห็นว่าไม่มีเงาของคนเดินไปจุดผ้าแต่อย่างใด

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ภาควิชาเคมีคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

นอกจากนั้น รศ.ดร.วีรชัย ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมหลังจบรายการต่างคนต่างคิดด้วยว่า หากชาวบ้านยังยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จากธรรมชาติ ส่วนตัวก็ให้ความเป็นธรรม ไม่ขัดแย้งอะไร เพียงแค่เป็นห่วงถึงความปลอดภัย ส่วนประเด็นที่ว่าเป็นฝีมือใครนั้น ตนคิดว่าต้องมีการพิสูจน์ โดยใช้กล้องตรวจจับความร้อน ที่เรียกว่า กล้องอินฟาเรด หรือ Thermal camera โดยหลักการของกล้อง คือการวัดจากอุณหภูมิความต่างทางธรรมชาติ ซึ่งหากมีการสแกน แล้วพบเห็นจุดที่ติดไฟ ก็จะทราบโดยทันที เพราะกล้องนี้มีความสามารถมองทะลุผ่านผ้าได้ แล้วเราก็จะทราบต้นต่อได้แน่นอน หากมีความร้อนก็จะแสดงเป็นสีแดงทันที

ทั้งนี้ ส่วนตัวยังสงสัยเนื่องจากมีข้อพิรุธ หลังจากที่ทราบว่าหลัง 20.00 น. ไม่เกิดเหตุขึ้น เพราะได้รับคำตอบว่าลูกเข้านอนหมดแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า “อย่าเชื่ออะไร จนกว่าจะมีการพิสูจน์ ตามหลักธรรมที่เราทราบกันดี” และเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เป็นนำเอานักวิทยาศาสตร์ไปต่อสู้กับชาวบ้าน เพียงแค่ส่วนตัวเป็นห่วงและไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย เช่นเหตุการณ์ที่ จ.พัทลุง อีกทั้งตอนนี้ กล้องอินฟราเรดไม่ได้อยู่กับตนเอง เพราะนักศึกษายืมไปใช้งาน หากอุปกรณ์มาถึงมือแล้วก็พร้อมลงไปตรวจสอบให้ สุดท้ายตนเอง ยืนยันว่า เคารพในความเชื่อของชาวบ้าน แต่อยากจะฝากถึงคนในพื้นที่ว่า หากเกิดจากฝีมือมนุษย์เป็นคนทำ กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยและจะถูกดำเนินคดี