ลุงพลไม่ปราม FC ใช้บัญชีมูลนิธิทนายรับเงินสู้คดี "ษิทรา" ชี้ไม่ผิดไม่ใช่คนเบิก (คลิป)

24 ม.ค. 64

สืบเนื่องจากกรณีที่หลายคนทราบกันดีว่า ก่อนหน้านี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขามูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาระบุว่า ได้รับการติดต่อจากนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล เพื่อให้ว่าความในทำคดีน้องชมพู่ พร้อมจะลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลที่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ในวันที่ 25 ม.ค.64 

514688

ล่าสุดวันที่ 24 ม.ค.64 ทนายษิทรา ได้ออกมาโพสต์เดือดอีกรอบ โดยเนื้อหาในโพสต์นั้น ระบุว่า "งงมาก อยู่ ๆ วันนี้นิติกรสาธารณสุขมุกดาหาร โทรมาหาผม บอกว่าถ้าผมเข้ามาในเขตแล้วไม่กักตัว 14 วัน ก็จะแจ้งความดำเนินคดี ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้คุยกับสาธารณสุขจังหวัดแล้วว่าไม่มีปัญหา ขอแค่ลงแอปฯ ของทางจังหวัดเท่านั้น นี่ก็ไปตรวจโควิด-19 ให้แล้ว ทีคนอื่นไปไม่เห็นมีปัญหา พอผมจะลงไปดูพื้นที่บ้านกกกอก ถึงลำบากยากเย็นขนาดนี้"

975252

ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปพูดคุยกับทาง ทนายษิทรา เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัว ก่อนเดินทางไปหมู่บ้านกกกอก ซึ่งทางทนายษิทรา เล่าให้ฟังว่า ข้อมูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามที่บอกว่า ก่อนหน้าที่ตนจะตัดสินใจจะลงพื้นที่ไปหาลุงพล หรือ นายไชย์พล วิภา เพื่อช่วยเหลือเรื่องคดี ส่วนตัวก็ได้มีการติดต่อไปสอบถามยังหัวหน้าสาธารสุขจังหวัดมุกดาหาร (สสจ.มุกดาหาร) ซึ่งเขาเองก็ทราบว่าตนมาจาก จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง ส่วนตัวเลยสอบถามว่าจะต้องทำอย่างไร จะมีการกักตัวหรือไม่ เขาเองก็แจ้งมาเพียงว่าสามารถเดินทางมาได้ เพียงแค่มาถึงแล้วลงทะเบียน รายงานตัว ตลอดจนลงข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันของจังหวัด เพื่อรายงานตัวผ่านแอปพลิเคชันเป็นรายวันจนครบ 14 วัน

นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่เองก็แจ้งว่าไม่ต้องกักตัว แต่ตนยืนยันความบริสุทธิ์ใจ จึงขออนุญาตไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลเป็นเอกสารยืนยันอีกครั้ง สุดท้ายผลตรวจออกมาเป็นลบ คือไม่มีเชื้อโควิด-19 ตนยืนยันได้ว่าประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารสุข จ.มุกดาหาร มาตลอดทั้ง 2 วันที่ผ่านมา

118516

ทนายษิทรา กล่าวต่อว่า ในช่วงบ่ายของวันนี้ตนก็ได้ส่งผลตรวจไปให้ทางเจ้าหน้าที่ จ.มุกดาหาร แต่กลับมีนิติกรสาธารณสุขติดต่อกลับมาแจ้งว่า หากจะเดินทางมา จ.มุกดาหาร ต้องกักตัว 14 วัน แม้จะมีผลตรวจเป็นลบแล้วก็ตาม หากไม่ปฎิบัติตามก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งตนก็รู้สึกตกใจเพราะที่ผ่านมาตนปฎิบัติตามกฎระเบียบทุกอย่าง แต่เมื่อตนจะเดินทางไปจริงกลับมีข้อต้องห้ามเพิ่มเติม ทั้ง ๆ ที่ตนซื้อตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก เบ็ดเสร็จทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เป็นเงินหลักหมื่นบาท แต่กลับมาแจ้งเช่นนี้

ทั้งนี้ตนขอย้อนถามว่า แล้วในเคสอื่น ๆ คนดังที่เดินทางไปก่อนหน้านี้ ทำไมสามารถเข้าพื้นที่ได้โดยไม่ต้องกักตัว การกระทำแบบนั้นส่วนตัวมองว่าเลือกปฎิบัติ และอาจจะมีการกลั่นแกล้งหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะเมื่อย้อนถามไปถึงเคสคนอื่น ๆ เจ้าหน้าที่เองก็ไม่สามารถตอบได้ แต่ตนก็จะยืนยันตามเดิม วันพรุ่งนี้จะเดินทางไปยังหมู่บ้านกกกอก คือไปเสี่ยงเอาดาบหน้า หากไปถึงแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ให้เดินทางเข้าไป ก็คงต้องขนคณะกลับ ขณะที่ลุงพลก็ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว

ส่วนข้อมูลหรือเอกสารหลักฐานในการเข้าไปช่วยเหลือคดี ทางทีมงานของตนเตรียมข้อมูลไว้บางส่วน พร้อมกับนัดคุณหมอลงพื้นที่ไปตรวจสอบการเสียชีวิตในคดีของน้องชมพู่ด้วย

เมื่อถามถึงเรื่องราวกระเเสข่าวที่ว่า "ทนายตั้ม ษิทรา" เดินทางไปช่วยเหลือคดีกับ "ลุงพล" เป็นการรับไม้ต่อจากทนายคนเก่าที่ตีตัวออกห่างไปอย่าง ทนายโนบิตะ หรือ ทนายกฤษฎา โลหิตดี หรือไม่ ทนายษิทรา กล่าวว่า เป็นการกล่าวอ้างจากฝั่งทนายโนบิตะ ที่โพสต์ในลักษณะว่าส่งไม้ต่อให้ตน ซึ่งเรื่องนี้ยอมรับว่าส่วนตัวโมโหมาก ถึงขั้นที่เขาโทรกลับมาเพื่อจะพูดคุยแต่ส่วนตัวไม่พร้อมจะรับสาย เพราะยังรู้สึกโกรธกับสิ่งที่เขาไปโพสต์ เพราะส่วนตัวไม่ได้รับไม้ต่อจากใครทั้งสิ้น ยืนยันข้อมูลทุกอย่างเริ่มปูพรมนับหนึ่งใหม่หมด ไม่ใช่เป็นการเอาข้อมูลของทนายโนบิตะมาสานต่อ ส่วนการค้นหาข้อมูลนั้นทางทีมงานของตนจะใช้ทั้งทนาย คุณหมอ และคนที่มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เข้ามาเสริม

980141

ถามถึงกรณีที่ "ทนายตั้ม ษิทรา" โพสต์ถึงปมคนบางคนในลักษณะตำหนิว่าเป็นคนหิวแสง ต้องวิ่งหาสปอตไลต์ ทนายตั้ม อธิบายว่า เป็นการโพสต์ถึงทนายคนหนึ่ง ที่ออกมาด่าตนผ่านการไลฟ์สด และโพสต์ด่าเกือบทุกวัน หลังจากที่ตนประกาศจะทำคดีให้ลุงพล ยอมรับส่วนตัวที่ผ่านมาอดกลั้นมาตลอด ไม่เคยตอบโต้ พร้อมถือคติที่ว่า "หากทำการใหญ่ ก็จะต้องไม่เหวี่ยงหินถามข้างทาง" แต่ครั้งนี้มันดูแรงไป เพราะมีการพาดพิงถึงครอบครัวตน ซึ่งเอาจริง ๆ ที่ผ่านมาตนไม่เคยให้ค่าคนประเภทนี้ ทนายคนดังกล่าวหลายคนคงจะทราบดีว่าใคร เพราะทนายคนดังกล่าวก็ยังมีคดีความกับตนในหลายคดี

 312017

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงกรณีที่มีเเฟนคลับลุงพล เปิดรับบริจาคโอนเงินมาช่วยเหลือตนนั้น ทนายตั้ม ชี้แจงว่า ในส่วนนี้เป็นการโพสต์ช่วยเหลือในส่วนของบัญชี "มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" ซึ่งไม่ใช่เป็นการเปิดรับบริจาคเข้าบัญชีส่วนตัวของตน เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยเปิดเผยเลขบัญชีส่วนตัว เมื่อเงินเข้าบัญชีมูลนิธิฯ ก็จะมีคณะกรรมการคอยตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบอยู่แล้ว ไม่ได้เข้ากระเป๋าของตน ส่วนยอดเงินยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบว่ามีเงินเข้ามาเท่าไร อีกทั้งเงินที่เข้าไปนั้นไม่ได้นำไปช่วยเหลือคดีลุงพล เพียงอย่างเดียว เพราะมูลนิธิฯ ยังมีภารกิจอีกหลายอย่างในการช่วยเหลือคน

388853

ทนายตั้ม กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดในส่วนของการเบิกจ่ายงบประมาณจากมูลนิธิฯ โดยตรง เพราะตนไม่ได้เข้าไปอยู่ในส่วนของคณะกรรม ตำแหน่งของตนเป็นเพียงเลขามูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แต่เท่าที่ทราบหากทางกรรมการของมูลนิธิฯ มีเคสช่วยเหลือประชาชนในเรื่องข้อกฎหมาย หรือเงินในการช่วยว่าความอะไรก็สามารถทำเรื่องของไปยังคณะกรรมการของมูลนิธิได้ ทางกรรมการเองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายงบก็จะมีการประชุมพิจารณากันเป็นเคส ๆ ไป ซึ่งในส่วนการลงมติว่าจะอนุมัติหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบว่าจำเป็นต้องลงมติกี่คน

308654

นายไชย์พล วิภา ผู้ต้องสงสัยคดีน้องชมพู่ เปิดเผยว่า กรณีที่ทนายตั้ม กำลังเดินทางมานั้น ก็ไม่ได้จะสอบปากคำพยานเพิ่มเติม เพราะการสอบปากคำนั้นน่าจะอยู่ในสำนวนคดีแล้ว และตนก็ไม่ได้ไปพูดคุยพยานคนไหนเป็นการส่วนตัว เพราะอาจจะถูกมองว่าไปข่มขู่กันอีก อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าทนายตั้ม คงจะอยากเห็นสถานที่เกิดเหตุและเก็บข้อมูล ตนก็ยังมั่นใจว่าน้องชมพู่ไม่ได้เดินขึ้นไปตายเอง

กรณีที่มีแฟนคลับของลุงพลที่อยู่ต่างประเทศ มีการเปิดรับบริจาคค่าทนายให้ลุงพล โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีมูลนิธิทนายประชาชนฯ นายไชย์พล เปิดเผยว่า ในส่วนนี้ตนไม่เคยรู้มาก่อน และยังไม่เห็น เพราะตนไม่ได้ดูโทรศัพท์มาสักพักแล้ว ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับตน เพราะเป็นสิทธิ์ของคนอื่นว่าเขาจะทำอะไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าใครหวังดีกับตนบ้าง เรื่องนี้ตนก็ยังไม่ได้คุยกับทนายตั้มเลย และตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คิดว่าแฟนคลับคงทำไปด้วยความเป็นห่วงและอยากช่วยเหลือ

ทั้งนี้สิ้นค้าที่ลุงพลรับเงินในฐานะพรีเซ็นเตอร์ หนึ่งในนั้นคือ “คุณส้ม” (นามสมมติ) เจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศที่เคยจ้างลุงพลในช่วงเดือนก.ย.63 ด้วยเงิน 50,000 บาท ก็ยอมรับกับทีมข่าวอัมรินทร์ ทีวี ว่าจนถึงวันนี้ลุงพลยังไม่สามารถขายเครื่องฟอกอากาศได้แม้แต่เครื่องเดียว

459545

โดยคุณส้ม บอกว่า เหตุผลที่เลือก “ลุงพล” เป็นพรีเซ็นเตอร์ในตอนนั้น เพราะเห็นข่าวผ่านทีวีแล้วเกิดสงสาร แต่เมื่อนำไปเสนอกับหุ้นส่วนอีกคน เขาก็ไม่เห็นด้วย เพราะดูในเชิงธุรกิจแล้ว ลุงไม่น่าจะสามารถขายได้ ซึ่ง “คุณส้ม” เองก็ยังยืนยันว่าต้องเลือก “ลุงพล” เท่านั้น

หลังจากนั้นตนจึงโทรไปหาลุงในเดือนก.ย.63 เพื่อสอบถามค่าตัวและรายละเอียดการทำงาน ซึ่งลุงก็ตอบกลับมาว่ายินดีรับงานมาก ๆ ต่อมาในประมาณวันที่ 18 ก.ย.63 “ลุงพล” และครอบครัวก็ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อตกลงเรื่องสัญญา พร้อมกับรับเงินค่าพรีเซ็นเตอร์จำนวน 50,000 บาทกับการทำหน้าที่ตลอด 6 เดือน

ในขณะที่ “คุณส้ม” ยื่นอีกข้อเสนอเพื่อช่วยเหลือ “ลุงพล” หากสามารถขายได้ 1,000 เครื่อง ทางบริษัทจะให้เงินพิเศษอีก 500,000 บาท ซึ่งลุงก็ตอบกลับมาทันทีว่า “ทำได้อยู่แล้ว!” โดยในวันนั้นไม่ได้มีการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นเพียงแค่สัญญาใจและมีพยานบุคคลนับ 20 ชีวิตร่วมด้วย คือ “ป้าแต๋น” และลูกลุงอีก 2 คน ทีมงานของตนเกือบ 10 คน “คุณน้ำฟ้า” ภรรยาหมอปลา พร้อมทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง

863844

“คุณส้ม” เปิดเผยอีกว่า ค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการดำเนินเรื่องให้ลุงพลมาเป็นพรีเซ็นเตอร์รวมถึงกระบวนการติดตามหมดไปประมาณ 200,000 บาท ทั้งค่าพรีเซ็นเตอร์ ค่าเดินทาง ค่าสนับสนุนอาหารเครื่องดื่มให้ “ลุงพล” ค่าที่พักช่วงที่ตนและทีมงานเดินทางไปยังบ้านกกกอก แต่จนถึงตอนนี้ “ลุงพล” ได้โปรโมตสินค้าให้แค่ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกคือวันที่ลุงขึ้นมาตกลงสัญญาที่กรุงเทพฯ มีการไลฟ์สดเพื่อเปิดตัวลุงในฐานะพรีเซ็นเตอร์ พร้อมแนะนำคุณสมบัติของตัวสินค้าเครื่องฟอกอากาศ

ส่วนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากที่ “คุณส้ม” เห็นว่าลุงและป้าแต๋นไม่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับการโปรโมตตามที่ตกลงกัน จึงส่งข้อความไปหาป้าแต๋น ป้าก็บอกว่าจะโพสต์ให้ แต่สุดท้ายก็เงียบหาย ตนจึงโทรไปตาม ป้าก็ไม่รับสายอีกเลย “คุณส้ม” จึงตัดสินใจเดินทางไปกกกอกพร้อมกับเครื่องฟอกอากาศ เพราะตอนนั้นหุ้นส่วนเริ่มถามถึงความคืบหน้าแล้ว บวกกับด้วยความที่ตนเป็นคนยากได้ลุงพลตั้งแต่แรกจึงต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเมื่อไปถึงก็วนอยู่ในตัวเมือง 2-3 วันกว่าจะได้เจอลุงและกว่าลุงจะไลฟ์สดขายให้

638325

สุดท้ายแล้ว จนถึงวันนี้ผ่านมา 4 เดือนกว่า ยอมรับเลยว่าสินค้ายังขายไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว จึงทำให้ตนกับหุ้นส่วนอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันต้องเกิดปัญหาและทะเลาะกันจนถึงทุกวันนี้ แล้วยิ่งมาเห็นข่าวพฤติกรรมของลุงที่เปลี่ยนไป ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของตนและหุ้นส่วนเป็นอย่างมาก รวมถึงกับตัวสินค้าเองก็มีลูกค้าเข้ามาคอมเมนต์ในเชิงเสียหายเยอะมาก ซึ่งทางแอดมินก็ได้ไล่ลบทั้งหมด เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของสินค้าไว้

แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่ได้คิดจะแจ้งความ แค่อยากให้ลุงออกมารับผิดชอบหน้าที่ด้วยการไลฟ์สดขายหรือกระตุ้นยอดขายบ้างก็เท่านั้นนั้น ส่วนเรื่องจะเอาเงินคืนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้มีสัญญาอะไรที่เป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ตั้งแต่แรก 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส