จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับแจ้งจากนายซอย แจ กุล อายุ 44 ปี นักธุรกิจชาวเกาหลีขายถุงมือยาง ว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาอุ้มไปรีดทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 63 เวลา 22.30 น.
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกันนำกำลังจับกุมนายบูรพา ปานหุ่น อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ และพวกอีก 4 ราย คือ นายพรเทพ ใจประสพ อายุ 39 ปี, นายสมชาย ตะเภาพงษ์ อายุ 46 ปี, นายวีระยุทธ มนัสการ อายุ 38 ปี และ ว่าที่ ร.อ.นัฐพงศ์ เนตรพรม อายุ 40 ปี
ในข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยมีอาวุธและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น และร่วมกันกรรโชกโดยขู่ว่าจะฆ่าและมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น พร้อมรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน ฆห 5923 กรุงเทพมหานคร
สืบเนื่องจากคนร้ายทำทีโทรศัพท์มาหาผู้เสียหายเพื่อติดต่อขอซื้อถุงมือยาง นัดคุยกันที่หน้าร้านอาหารชาบูนางใน ซอยรามอินทรา 5 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน เมื่อถึงเวลานัดหมายกลุ่มคนร้ายเข้ามาพบ มีนายบอลขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนี แล้วคนร้ายรุมทำร้ายก่อนพาตัวขึ้นรถตู้คันดังกล่าวไปยังโกดังย่านทุ่งครุ ระหว่างทางได้ใช้ปืนบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีของนายบูรพา 1.5 ล้านบาท ผ่านไป 7 ชั่วโมง จึงปล่อยตัว
วันที่ 30 ธ.ค. 63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่จุดเกิดเกิดเหตุ ร้านชาบูนางใน ย่านรามอินทรา 5 กรุงเทพฯ ช่วงที่เกิดเหตุค่อนข้างดึก จึงทำให้ร้านโดยรอบปิดเกือบทั้งหมด
ทีมข่าวเดินทางไปยังสถานที่ที่จับกุมนายบูรพา ปานหุ่น อายุ 22 ปี และพวกอีก 4 คน ที่หมู่บ้าน แขวงและเขตสายไหม กรุงเทพฯ ตาของนายบูรพา ระบุว่า ที่ผ่านมานายบูรพาประกอบอาชีพขายกุ้งก้ามกรามส่งออกต่างประเทศ ตนเองเคยช่วยดูแลบ่อกุ้งของนายบูรพา แต่ช่วงระยะหลังเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี จึงมีการเปลี่ยนการประกอบอาชีพไปเรื่อย ๆ และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายบูรพาผันตัวมาประกอบอาชีพจำหน่ายถุงมือยาง และหน้ากากอนามัยแทน
โดยเมื่อวานนี้ ช่วงที่ตำรวจบุกเข้ามาจับกุม ตนเองก็อยู่ภายในบ้านด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำหมายค้นเข้ามาค้นภายในบ้าน ตนเองก็ยินดี ไม่ได้ตามไปตรวจสอบด้วย เพราะมั่นใจว่าหลานไม่ได้ทำผิด และไม่เชื่อว่าหลานเป็นคนบังคับข่มขู่นักธุรกิจชาวเกาหลีคนดังกล่าว และไม่ได้ตกใจ เพราะรู้นิสัยของหลานชายดี เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่มีความกระด้างกระเดื่อง พูดเพราะ และไม่ใช่นักเลงหัวไม้ ยืนยันว่าที่บ้านหลานชายไม่มีปืน
เรื่องที่เกิดขึ้น หลานชายบอกว่าไม่มีอะไร เป็นเพียงเรื่องทำธุรกิจ และมีการส่งของให้ไม่ตรงคุณภาพที่ตกลงกันไว้ มีปากเสียงกัน เท่านั้น ที่ผ่านมานายบูรพาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เป็นประจำกับภรรยา และลูกอีก 2 คน ส่วนตัวไม่ได้กังวลเรื่องคดีความ ตนเองก็เชื่อว่าไม่มีอะไร และนายบูรพาก็ไม่มีลูกน้อง มีแต่กลุ่มเพื่อนพ่อค้าที่รู้จักกันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลานไม่ได้รวย หรือมีเงินมากมาย เมื่อ 2 วันที่ผ่านมายังมาขอยืมเงินตนเอง 10,000 บาท และยืนยันว่าทางครอบครัวใช้เงินอย่างประหยัด เพราะเป็นคนจน