จากกรณีมีหญิงสาวเข้าร้องกับเพจดังว่า สามีที่ต้องโทษในเรือนจำ
สมุทรปราการ ถูกซ้อมจนเสียชีวิต โดยสภาพศพมีบาดแผลและรอยฟกช้ำตามร่างกายจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดวันนี้ (20 เม.ย.) มีคำสั่งย้าย
ผู้บัญชาการเรือนจำสมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 4 ราย ไปที่ จ.ฉะเชิงเทราและชลบุรีแล้ว
ขณะเดียวกัน บรรยากาศพิธีสวดพระอภิธรรมศพนายพัฒนชิรพงฐ์ ที่วัดทุ่งครุ กรุงเทพฯ เป็นไปอย่างโศกเศร้า โดยมีญาติ พี่น้อง เพื่อนของผู้เสียชีวิตที่แต่งกายด้วยชุดสีดำร่วมแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก
โดย
นายสราวุฒิ ศิริพลับ หรือ วุฒิ เพื่อนผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนเป็นเพื่อนกับผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่สมัยขับรถจักรยานยนต์รับจ้างด้วยกัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันนาน 4-5 ปีแล้ว เพราะต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานอื่น จนมาทราบข่าวการจากไปของเพื่อนก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากไม่คิดว่า เพื่อนตนที่มีอุปนิสัยร่าเริงจะมาจากตนไปเร็วขนาดนี้ ทั้งนี้ รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ทราบว่าอีกเพียง 1 ปี เพื่อนตนก็จะพ้นโทษได้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว แต่กลับมาเสียชีวิตก่อน สงสารพ่อแม่ของผู้ตายที่ขาดเสาหลักไป
นอกจากนี้ ตนรู้สึกว่าเพื่อนตนไม่ได้ตายเพราะขาดอาการหายใจธรรมดาแน่ แต่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น แต่ตนก็ไม่ทราบ จึงอยากให้ทางผู้ใหญ่นั้นตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะถ้ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
ขณะที่
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ได้เดินทางมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพ เปิดเผยด้วยว่า ตนรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมได้มอบเงินทำบุญ แต่การมอบเงินนี้ไม่ใช่เป็นการปิดปาก ขณะนี้ได้มีการดำเนินการอยู่ 3 ส่วน คือ ส่วนที่แรก ได้มีการย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปิดโอกาสให้ขั้นตอนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการของกรมฯ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
ส่วนที่ 2 เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงบงพื้นที่ตรวจสอบก็จะให้ความเห็นมาว่ามีความผิดทางวินัยหรือไม่อย่างไร ถ้ามีมูลเป็นวินัยร้ายแรงก็จะมีการตั้งกรรมการเอาผิดทางวินัย ซึ่งโทษสูงสุดคือ ไล่ออก ปลดออก แต่ถ้าไม่ร้ายแรงก็มีการภาคทัณฑ์ หรือตัดเงินเดือน
ส่วนที่ 3 เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานสอบสวน เนื่องจากเป็นการตายในขณะอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการวิสามัญฆาตกรรม ก็สามารถดำเนินคดีอาญาต่อไปได้
จากรายงานที่ตนทราบมาคือ ผู้ตายน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนสงสัยในการรับยาเสพติดที่มีการลักลอบส่งเข้ามาในเรือนจำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นายที่โดนสั่งย้าย เบื้องต้นเป็นคนที่มีอุปนิสัยขยันขันแข็ง เอาจริงเอาจังในการทำงาน แต่การที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในเรือนจำถือเป็นเรื่องร้ายแรง
ส่วนการซ้อม ทรมาน หรือการกระทำการใดที่ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ ถือเป็นการขัดเจตนารมย์และนโยบาย โดยผู้ที่เป็นนักโทษถูกคุมขังในเรือนจำ โทษคือการขาดอิสรภาพ ไม่ได้หมายความว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องกระทำการทารุณโหดร้ายแต่อย่างใด เพราะก็มีหน้าที่สั่งสอน หรือให้กำลังใจให้นักโทษนั้นกลับตัวเป็นคนดีเพื่อให้มีชีวิตอยุ่ในสังคมได้
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่และทางครอบครัวผู้เสียชีวิต
ด้าน
น.ส.วนิชชา หรือ เดียร์ แฟนสาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนได้ทราบตามข่าวว่ามีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแต่ไม่ทราบว่าเรื่องราวจะเป็นจริงหรือไม่ แต่อยากให้หาตัวคนผิดมาลงโทษ และรับผิดชอบกับหนึ่งชีวิตที่เสียไป เนื่องจากแฟนตนถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ให้ความเป็นธรรม โดยพ่อแม่ของแฟนตนก็ยังเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะการจากไปครั้งนี้ คือลูกชายของเขาทั้งคน หลังจากนี้ก็ให้ยึดตามข้อกฎหมายในการลงโทษต่อไป
ขณะที่
นายกมล บุญญะเสมา อาของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า เมื่อตนเห็นสภาพศพของหลาน พบว่าตามร่างกายนั้นมีร่องรอยบอบช้ำ บริเวณแขนและบริเวณแผ่นหลัง แต่บริเวณด้านหน้าไม่ค่อยมีร่องรอยมากนัก และสังเกตบริเวณแขนจะมีรอยคล้ายเชือก ยอมรับว่าครอบครัวรู้สึกคาใจกับการตายของหลาน เพราะรู้สึกว่าการตายนั้นผิดปกติ เนื่องจากถ้าตายจากโรคภัยไข้เจ็บ ตามร่างกายคงไม่มีร่องรอยเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ที่ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะมีการตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี และอยากให้ทางผู้ใหญ่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวตนด้วย