เจอคำวิพากษ์วิจารณ์หนักแค่ไหน ซามูไรพ่อลูกอ่อน "หนุ่ม ศรราม" ก็ไม่ท้อ เดินหน้าเลี้ยงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน "น้องวีจิ" อย่างเต็มกำลัง ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจแบบหมดเปลือกถึงมรสุมที่ผ่านมา เผยถึงปมที่ทำให้ตัดสินใจแยกทางเป็นครั้งแรก พร้อมย้ำว่าไม่เคยปิดกั้นแม่ลูกให้เจอกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “หนุ่ม ศรราม” โพสต์ซึ้งถึงลูกสาวน้องวีจิ พร้อมปลูกฝังให้ลูกใช้ชีวิตแบบ “นกน้อยทำรังแต่พอตัว”
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม เป็นพระเอกที่มีงานเยอะมากโดยเฉพาะกับเช้นจ์2561 ของพี่ฉอด เล่นกันมาทั้งแต่สามีสีทอง แล้วก็มาบังเกิดเกล้า แล้วต้องได้รับบทผู้ชายนิสัยไม่ค่อยดี ไม่ใช่หมายความว่าเป็นคนร้ายไปฆ่าใคร แต่ในตัวมีความเป็นแบดๆ ที่มีเสน่ห์
หนุ่ม ศรราม : แต่ละเรื่องที่พี่ฉอดเลือกมา เช่น สามีสีทอง หรือ บังเกิดเกล้า ไม่ได้เป็นละครสร้างใหม่ เป็นละครที่เคยถูกสร้างมาแล้ว แต่พอตีความออกมาให้เราเล่น หลายคนเชื่อ ในเรื่องบังเกิดเกล้า ผมไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คิดแค่ว่าแม่บอกอะไร ผมเชื่อหมด
ถาม คอนเซ็ปต์คือเลี้ยงลูกยังไง ได้อย่างนั้น
หนุ่ม ศรราม : แม่บอกอะไรดี ไม่ต้องมีการคิดกลั่นกรองเพิ่มเติมเลย
ถาม จริงๆ แล้วเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่อยากให้เรียกซามูไรพ่อลูกอ่อนมากกว่า เพราะอะไร
หนุ่ม ศรราม : เพราะผมว่ามันน่ารัก ผมไม่อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องมีอุปสรรคเยอะ หรือมีอะไรเครียดที่ต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เพราะเราอยากให้มองว่าเป็นเรื่องสบายๆ เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดขึ้นได้
ถาม แล้วมันสบายจริงหรือเปล่า ปกติแล้วเราจะพบคำว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีความสบายๆ หรือความยากลำบากอะไรบ้าง
หนุ่ม ศรราม : ผมว่าถ้าเรามีลูกเป็นตัวตั้ง ทุกอย่างจะสบายหมด มันจะไม่เหนื่อยเลย เพราะเรามีวีจิเป็นตัวตั้ง อย่างเมื่อก่อนเราเป็นลูกใช่ไหมครับ ผมมีป๋ากับแม่ เราทำตัวเป็นลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่ เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดในวันที่เขาอยู่ วันหนึ่งป๋าจากไป แล้ววีจิมา ตอนนี้เราเอาวีจิเป็นตัวตั้ง พลังงานการขับเคลื่อนในตัวมันเต็มเหนี่ยวเลยครับ
ถาม เราไม่เคยมีลูกมาก่อน แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างในจิตใจของเรา
หนุ่ม ศรราม : ระมัดระวังตัวเองมากขึ้นในเรื่องสุขภาพ ความโลดโผน ทุกสิ่งอย่างคือลดลงหมดเลย หรือแม้กระทั่งวิธีการเล่นกับเขาก็ต้องเล่นแบบทะนุถนอม เบาๆ มีความละเอียดมากขึ้น ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำในหน้าที่ของพ่อคือทำอาหาร ตอนแรกทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอหลังโควิด เราทำงานถ่ายละครเช้าถึงดึกทุกวัน เลยไม่ค่อยได้ทำอาหารสักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังคงมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมคือใส่บาตรกับลูกทุกเช้า ทานข้าวเช้ากับเขา เล่นกับเขา แต่ถ้าวันไหนมีกองถ่ายสักหนึ่งซีน ก็พาไปเที่ยวที่กอง
หนุ่ม ศรราม : ตอนนี้ก็ขวบกับอีกแปดเดือนแล้วครับ เริ่มอ้อนแล้ว ก่อนที่เราจะออกจากบ้า นเขาจะเรียกเราป๊ะป๋า หรือไม่ก็เตรียมใส่รองเท้า จะนั่งรถไปด้วย
ถาม การที่เราเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือ ซามูไรพ่อลูกอ่อน เราต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ต้องทำงานด้วย เราต้องศึกษา อ่านหนังสือ เรียนวิธีการเลี้ยงเขาไหม แล้วกังวลในเรื่องการแบ่งเวลาไหม
หนุ่ม ศรราม : ตั้งแต่ที่วีจิคลอดออกมา เราจะมีพี่เลี้ยงดูแลวีจิอยู่แล้ว ตอนนั้นเป็นคุณน้า พอวีจิเริ่มโต 1 ขวบเราก็เปลี่ยนจากคุณน้ามาเป็นพี่เลี้ยงที่มาจากเนอสเซอรี่ของเพื่อนผม ที่เรียนเซนต์คาเบรียลด้วยกัน เขาจะสอนตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น ทานข้าว อาบน้ำ รู้จักเรียง A B C หัดออกเสียง งีบหลับตอนกลางวัน ทำให้เป็นชีวิตประจำวันของเขา ส่วนคุณแม่พออายุเริ่มเยอะขึ้น เราก็ได้พี่เลี้ยงมาช่วยดูแลอีกคน ก็ต้องบอกว่ามีกำลังเสริมที่คอยช่วยเหลือในขณะที่เราทำงานนอกบ้าน ถามว่าเราห่วง กังวล ที่เราต้องทำงานด้วยเลี้ยงลูกด้วยไหม ผมไม่นะครับ เพราะเราเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ตอนเด็กๆ ป๋าผมไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดเป็นเดือนๆ แม่คือคนที่เลี้ยงเรามา ซึ่งมีวันหนึ่งที่พอเรารู้ว่าป๋ากลับมาจากที่ทำงาน แล้วเขาจะมารับเราที่โรงเรียน เรายืนรออยู่ตรงสะพานลอย รอตั้งแต่สี่โมงถึงสองทุ่ม เหลืออยู่คนเดียวก็เคยผ่านมาแล้ว ฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าอะไรก็ได้ที่มันเป็นความรัก ความอบอุ่นที่เราสามารถที่จะเติมเต็มให้เขา เราจะทำ ให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ
ถาม คนที่มีครอบครัวที่อบอุ่นในวันนั้น จนกลายมาเป็นซามูไรพ่อลูกอ่อน มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทาง
หนุ่ม ศรราม : ทุกปัญหาที่มันเกิด เป็นปัญหาที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนที่สาม แต่มันเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยถูกต้อง แล้วมันเป็นปัญหาที่หนัก ไม่ได้รับการแก้ไข แล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่อยๆ ตามมา ซึ่งผมเองก็พยายามประคับประคองให้มันดีที่สุดแล้ว พยายามจะแก้ไขปัญหาทุกๆ ครั้งอย่างดีที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะมีวีจิเป็นตัวตั้ง อะไรก็ตามที่มันต้องเกิดอันตรายต่อวีจิ หรือมีผลกระทบต่อลูกนั่นคือสิ่งที่มันไม่ได้แล้วครับ
ถาม พอจะเล่าไทม์ไลน์เรื่องที่เกิด หรือการตัดสินใจที่เกิดขึ้นกับเราได้ไหม
หนุ่ม ศรราม : ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังแล้ว ผมคิดว่าพอมาถึงวันนี้ สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ได้ เราก็เลยจะขออนุญาตไม่ไล่ไทม์ไลน์นะครับ
ถาม ไม่มีใครอยากตัดสินใจให้ครอบครัวตัวเองต้องแยกย้ายหรอก จุดเปลี่ยนที่แรงที่สุด ทำให้ต้องตัดสินใจแบบนี้คืออะไร
หนุ่ม ศรราม : ผมตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วครับ ตั้งแต่พบความผิดปกติ เพราะผมเรียนไปแล้วว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้น มันเป็นปัญหาที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อปัญหาที่ไม่ถูกต้องมันเกิดขึ้น สิ่งที่มันหมดไม่ใช่ความรัก แต่มันหมดความไว้ใจ เราพยายามประคับประคองแล้ว แต่มันก็ยังมาเป็นระลอกๆ ถ้ามนุษย์เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ครอบครัวมันควรจะมีความสุข ไม่ควรร้อน บ้านไม่ควรร้อน บ้านควรเป็นที่ที่อบอุ่นหรือเย็นๆ เวลาที่เราเหนื่อยจากที่อื่นมา เวลาที่เราเข้าบ้านเราต้องรู้สึกสบาย
ถาม ปัญหานี้พี่หนุ่มรู้มาก่อนแต่งงานไหม
หนุ่ม ศรราม : ปัญหาที่ทำไม่ถูกต้องเนี้ย ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีปัญหาอะไร รู้ แล้วก็แก้ไขให้มาโดยตลอด เพราะเราไม่รู้ต้นเหตุของมัน เรารู้แค่ปลายเหตุ
ถาม ถ้าพูดตรงๆ รู้ว่ามีเรื่องเงินนิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าปัญหานี้มาจากสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
หนุ่ม ศราม : ใช่ครับ แต่คราวนี้มันก็จะเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ถ้าเกิดอั๋นพูดแบบนี้ ก็จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นเพราะว่าการสนทนาที่อยู่ในบ้าน มันก็จะเป็นเรื่องปัญหานี้ ไม่ใช่ว่าวันนี้จะพาลูกไปเที่ยวไหน วันนี้ป๋าเหนื่อยไหม มันก็จะถูกวนเวียนอยู่กับเรื่องที่อั๋นพูดเมื่อกี้ มันก็จะถูกวนเวียนอยู่แบบนั้น ซึ่งเราเองก็ไม่เข้าใจ ณ วันนั้น เรารู้ว่ามีปัญหา และเราก็พยายามช่วยแก้ปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เราอย่างหนึ่งในเรื่องของการสนทนา ไม่มีเรื่องอื่นเลย มันมีผลกระทบต่อคนๆ หนึ่งที่ต้องออกไปยิ้มหน้ากล้อง เราต้องออกไปมอบความสุขให้กับทุกคน เพราะฉะนั้นพลังงานที่เราต้องได้รับ ต้องเป็นพลังงานบวกนะ เพื่อที่เราออกไปปั๊บ เราส่งให้คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสน แต่คือว่าพอเสียงไหนที่เป็นการสนทนาที่มันอยู่เฉพาะเรื่องนี้ มันแน่นมากพอสมควรนะ ทุกวัน ทุกเวลา เป็นไปไม่ได้นะ ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ถ้าผมไม่เติมพลังให้กับตัวเอง ผมก็ไม่สามารถที่จะไปเติมพลังให้กับคนอื่นได้ เราก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน แต่พอเราอ่อนแอ เราก็จะหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองกลับมาเข้มแข็งให้เร็วที่สุด
ถาม เราจะพูดเสมอว่าเวลาเริ่มชีวิตคู่ เรื่องเงินจริงๆ แล้วมันมีความละเอียดอ่อน คู่ของหนุ่มเองมีการพูดคุยเรื่องนี้มาก่อนการแต่งงานไหม
หนุ่ม ศรราม : ช่วยแก้ไขปัญหาเลยครับ ในทุกๆ ครั้งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน อย่างที่เราบอกคือเราพยายามแก้ไข บอกให้ปรับปรุง ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่าง ณ วันนั้นนะครับ แต่พอเรามาคิดถึงวีจิ มันไม่โอเคสำหรับลูกแล้ว
ถาม เคยมีเหตุการณ์อันหนึ่งที่มันเกิดกับหนุ่ม บังเอิญได้ดูตอนที่หนุ่มไลฟ์ เห็นชัดเลยว่าพยายามจะแก้ปัญหาจริงๆ หนุ่มจะพูดอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย เราก็เป็นคนดูอยู่ซึ่งเราก็ไม่รู้อะไรเยอะนะ แต่สิ่งที่เขาพยายามพูดออกไปซึ่งไม่สามารถพูดออกมาตรงประเด็นได้ เพราะต้องปกป้องทุกสิ่งอย่างอยู่ อันนั้นเห็นในความพยายาม ความยากลำบากเราก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นคนของประชาชนอยู่ในความสนใจของทุกคน
หนุ่ม ศรราม : แล้วอีกอย่างเหมือนที่อั๋นบอกคือเราจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปบอกที่มาที่ไปยังไงที่ต้นเหตุคืออะไร ซี่งก็มีคนเข้าไปต่อว่าทำไมตอบไม่ตรงคำถาม ก็อึดอัดบางส่วนนะครับ แต่อย่างที่บอกนะครับว่าเงินทองมันเป็นของนอกกาย เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเสียความรู้สึกไปแล้วมันเรียกกลับมายาก
ถาม แต่เมื่อกี้ถามหนุ่มบอกว่าตอนครั้งแรกที่มีปัญหา รู้สึกเลยว่าไม่เอาแล้ว แต่รู้มาว่าหลังจากนั้นก็ยังคงใช้ความพยายามอยู่ด้วยกันเป็นปี
หนุ่ม ศรราม : ใช่ครับ เพราะผมไม่อยากให้วีจิ ขาดคนใดคนหนึ่งไปในชีวิต ซึ่งตอนนั้นที่เรายังไม่เลิก เพราะเราไม่ได้แคร์เรื่องว่าเราคือศรรามอะไรมากมาย แคร์ลูกมากกว่า แล้วก็ ณ วันนั้น เรารอให้มีการแก้ไขปรับปรุงด้วย เพราะได้มีการพูดจากันแล้ว ซึ่งพอผ่านมาระยะเวลาหนึ่ง มันก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุง แล้วเราก็ประคับประคองอย่างดีที่สุดแล้ว ที่ผมบอกว่าผมเสียความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมบอกคือความไว้วางใจ เพราะหลังบ้านเราต้องแน่นหน้าบ้านมันถึงจะรบชนะ
ถาม และที่บอกว่าตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรกคือหย่าเลย แต่ทำไมยังตัดสินใจใช้หนี้ให้อีก
หนุ่ม ศรราม : เพราะอย่างที่บอกครับ เรารอการแก้ไข และปรับปรุง เพราะเราก็ยังรักนะ เราก็ให้โอกาส แต่มันไม่ใช่โอกาสที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เพราะมันเป็นเหมือนเดิมอยู่แล้ว ณ วันนั้นนะครับ เพราะมันยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเรารู้กันแค่ในครอบครัวเรา
ถาม ในเชิงกฎหมายมันจบไปตั้งแต่แรก แต่ความเป็นครอบครัวยังอยู่เดินหน้าต่อไปด้วยกันเรื่อยๆ แล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้การเดินหน้าไปของสภาพนี้มันเปลี่ยนไปต่อไปได้
หนุ่ม ศรราม : มันมีหลายเรื่องเลยนะครับที่เกิดขึ้น แล้วก็มาเป็นระลอกๆ แล้วเราก็พยายามแก้ปัญหาทุกรอบ จนเราไม่รู้ว่าฟางเส้นสุดท้ายมันอยู่ตรงไหน เพราะเข้ามาหลายทางและหลายลักษณะ
ถาม มีอะไรที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยมากจนถึงขั้นว่าไม่ได้แล้ว จนต้องหยุด
หนุ่ม ศรราม : มีคนแปลกหน้ามาที่บ้าน มาติดตามทวงถาม ซึ่งก็ไม่ได้มาแค่ครั้งเดี่ยว
ถาม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมีเจ้าหนี้ที่แม้แต่เป็นเพื่อนของพี่หนุ่มเองด้วย แปลว่าเราไม่รู้ว่าไปติดต่อหยิบยืมยังไง แต่เพื่อนเรากลายเป็นเจ้าหนี้
หนุ่ม ศรราม : ใช่ครับ ก็เหมือนว่าคนรู้จักฝั่งผมถูกไหมครับ แต่เรื่องการหยิบยืมมันเป็นเรื่องของการพึ่งพอใจ ใครพึ่งพอใจที่จะให้ใคร แต่เมื่อความสัมพันธ์ของเราสองคนถูกบอกให้สังคมรับรู้แล้วว่ามันยุติ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นคนใกล้ชิดของผม ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรง ผมก็ต้องเป็นคนที่จัดการ เหมือนที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าผมก็ต้องเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ เหมือนกับใช้หนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ต้องเก็บไว้ให้วีจิในอนาคต อีกส่วนก็ต้องเอาไว้ดูแลแม่ครับ
ถาม แต่ของบางอย่างที่เราให้ความไว้วางใจให้เขาเก็บเอาไว้ เช่น ทองของลูก ตรงนั้นหายไปหมดหรือเปล่า
หนุ่ม ศรราม : ผมไม่ทราบว่าหายไปหมดหรือไม่หมด เพราะทองไม่เคยอยู่กับผมเลยตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมา ผมไม่ได้เป็นคนเก็บ แต่ผมเรียนตรงนี้เลยว่าแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่ควรหายไป รักลูกก็ต้องรักษาสมบัติที่เป็นของลูกไว้ด้วยครับ ส่วนของที่มอส เพื่อนรักของผมทำมาให้ เป็นล็อกเก็ต หลังจากที่ผมโพสต์ใบหย่าไปแล้ว ผมก็บอกขอความกรุณาใครที่ได้ทำธุรกรรมไม่ว่าเรื่องใด ก็ตามก็ให้ไปติดต่อกันเอง เพราะว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านผมแล้ว แล้วผมกับลูกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พี่ที่เป็นมอเตอร์ไซค์ที่คอยดูแลบ้านเรา เขาก็เอาล็อกเก็ตมาคืนผม เขาก็บอกว่ามันเกือบจะต้องไปอยู่ที่ร้านทองแล้วนะครับ แต่เขาตัดสินใจเอาเงินส่วนตัวเขาให้ แล้วเขาเก็บเอาไว้ให้เรา ซึ่งพี่มอส เจ้าของล็อกเก็ตเขาก็เข้ามาแซวเราว่ายังดีที่เหลือของเขาไว้หนึ่งอัน ซึ่งพี่มอสเขาเป็นคนน่ารักมาก ให้คำปรึกษาผมอยู่ตลอดเวลาวิธีการเลี้ยงลูก ดูแลลูก อย่างคำนิยามของ ศรราม พี่มอส เขาให้คำที่ดีมากก่อนแต่งงานว่า พี่หนุ่ม ก็เหมือนคนขับรถ แล้วไม่รู้จะไปไหน แต่พอมีลูกแล้ว ตอนนี้เข้ารู้แล้วว่าเขาขับรถแล้วเขาจะไปไหน ปลายทางของเราคือวีจิ
หนุ่ม ศรราม : หลังจากที่ผมโพสต์ใบหย่าไป ผมไม่ใช่คนที่ออกสื่อ ถ้าสังเกต ผมจะไม่ได้ออกไปพูดอะไรทั้งสิ้นเลย พอเราทราบความจริงจากรายการต่างๆ ออกไป ผมได้มีโอกาสไปออกรายการแฉของพี่ฉอดครั้งเดียว และนักข่าวตามไปสัมภาษณ์ผมตามงานอีเว้นท์เท่านั้น
ถาม ในตอนนั้นที่บอกว่าเสียความรู้สึกแต่ยังรักไหม
หนุ่ม ศรราม : ก็รักนะครับ รัก แล้วณ ตอนนั้นก็พยายามทำความเข้าใจ แต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุจริงๆ เราก็ทำได้แค่จัดการแก้ไขสถานการณ์ที่มันเกิดข้างหน้าให้มันผ่านไปให้ได้ให้มันดีที่สุดในแต่ละเคสๆ ไป
ถาม รู้ว่าลูกยังเล็กแต่ได้บอกลูกสื่อสารหรือมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันยังไง
หนุ่ม ศรราม : ไม่มีเลยครับ ผมจะพยายามระมัดระวังในสิ่งที่ถึงแม้วีจิ เขาอาจจะยังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม ถ้าเขายังอยู่ในวัยที่เขายังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องรู้เรื่องเพราะพ่อหรือแม่ก็ไม่ควรพูดบางสิ่งอย่างให้ลูกฟัง เขาควรจะฟังในสิ่งที่เขาควรจะฟัง
ถาม ตอนนั้นได้ปรึกษา คุณย่า ไหม
หนุ่ม ศรราม : ไม่ครับ ไม่ปรึกษาใครเลย ซึ่งคุณย่ารู้เรื่อง เราเชื่อว่าแม่น่าจะทุกข์พอสมควร ตอนนั้นตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะเข้ามาแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยกับลูกกับแม่ คือไม่ได้แล้ว
ถาม ในเวลาที่เกิดปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นต้องแยกกัน ไม่มีใครไม่ว่าเพศไหนหรอกที่อยากจะแต่งงานแล้วมาแยกย้ายกันทีหลัง ทุกคนก็อยากจะมีชีวิตครอบครัวที่แบบยาวนาน แต่ในความที่เป็นผู้ชายมีวิธีในการแสดงออกถึงปัญหาการแยกกันยังไง เสียใจไหม ร้องไห้ไหม
หนุ่ม ศรราม : ผู้ชายก็ร้องไห้เป็น ระยะแรกๆ ก็เป็นนะครับ มันเหมือนกับว่าเราก็เคยอยู่กันเป็นครอบครัว นอนที่พื้นกันสามคนพ่อแม่ลูก แต่มันก็ต้องเข้มแข็ง เพราะถ้าเราไม่แข็งแรงเพียงพอ เราก็ไม่สามารถพาลูกและตัวเราออกจากจุดตรงนั้นได้ และคิดถึงวีจิเราก็ไม่ร้องแล้วครับ มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกคือร้องแล้วทุกอย่างมันดีขึ้น ผมจะร้อง แต่ถามว่ารู้สึกซึมๆ ดาวน์ๆ ไหมมีนะครับ แต่พอเราหันไปเจอวีจิก็หายครับ
ถาม เราเชื่อมั่นในความเป็นคุณพ่อขนาดไหนว่าลูกจะไม่ขาดแน่นอน
หนุ่ม ศรราม : เชื่อมั่นในตัวเองมากครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิดผมไม่ได้คิดถึงตัวเองแต่ผมคิดถึงวีจิคนเดียว
ถาม ตอนนั้นทัวร์ลงเลย
หนุ่ม ศรราม : อาจจะเป็นเพราะว่าคนยังไม่เข้าใจว่าต้นสายปลายเหตุมันคืออะไร ตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้โฟกัสคอมเมนต์ในโซเชียลเลยครับ เราพยายามที่จะโฟกัสแค่ครอบครัวเราก่อน จะทำยังไงให้ครอบครัวของเราสามารถไปต่อได้
ถาม ผ่านจุดที่ยากที่สุดตรงนั้นมาได้ยังไง
หนุ่ม ศรราม : อดทนแล้วก็มีลูกเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ไม่เอาความรู้สึกตัวเองมาตัดสินใช้วีจิเป็นตัวตั้งแล้วก็มาบวกลบคูณหาร ถ้าเกิดผลลัพธ์ที่กระทบต่อลูกแม้แต่นิดเดียว เราจะไม่ทำ
ถาม ซึ่งการเป็นแม่ลูก ต้องเป็นแม่ลูกกันตลอดชีวิต การเจอกันของแม่ลูก เรามีกำหนดอะไรไหม
หนุ่ม ศรราม : ตอนแรกก็คือเจอตามปกติครับ เราก็นัดเจอกันที่ร้านอาหาร ทานข้าวกันทั้งครอบครัว พอเจอกันครั้งแรก ต่างคนก็ต่างทำงาน แล้วคุณติ๊กก็ไปติดต่อมูลนิธิ ขออนุญาตไม่บอกชื่อ แล้วคราวนี้ผมติดถ่ายละครอยู่ ซึ่งถ่าย 7 วันติด เราเลยให้ที่ปรึกษาไปดูว่ามูลนิธิที่เขาติดต่อไว้เป็นยังไง สะอาดไหม ก็ปรากฏว่ามันไม่โอเค เป็นความต้องการของคนที่เป็นแม่ ผมรู้สึกว่าผมไม่โอเค ไม่ปลอดภัย คุณติ๊กเลยไปประสานงานกับภาครัฐอีกทีหนึ่ง คราวนี้ผมมีวันว่าง ผมไปดูด้วยตัวผมเองแล้วผมก็โอเค แล้วให้เขานัดที่นี่ เป็นที่กลาง ซึ่งก็นัดเจอกันสองครั้งแล้ว
หนุ่ม ศรราม : ผมไม่เคยห้ามไม่ให้แม่ลูกเจอกันเลย แล้วก็มีข่าวออกมาว่าถ้าใช้หนี้ฝั่งผมไม่หมดแล้วจะไม่ให้เจอลูก คือไม่เกี่ยวเลย คุณติ๊กใช้หนี้หมดหรือไม่หมด ผมก็ให้เจอลูกอยู่แล้ว ใช้หนี้หมดหรือไม่หมดก็ไม่ใช่เรื่องของผม แต่ว่าเรื่องลูก คุณติ๊กเป็นคนเสนอมาแล้ว ผมก็เห็นว่ามันเหมาะสม แล้วผมก็ทำตาม ก็ให้ไปเจอสองครั้งแล้วครับ ผมกำหนดว่าระยะแรกขอเป็นเดือนละสองครั้งก่อน เพราะว่าผมงานเยอะจริงๆ ตอนนี้
หนุ่ม ศรราม : ครั้งแรกที่ไป ผมถ่ายอินสตราแกรมให้ ถ่ายรูปให้ ผมก็พยายามทำบรรยากาศให้มันเหมือนเดิม ก็มีคอมเมนต์เข้ามาว่า อยากจะให้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่กันทั้งบ้าน เพราะเราก็เรียกเขาเหมือนเดิมว่าแม่จ๋า ป้อนน้ำให้วีจิ คนก็เข้ามาอยากให้กลับมาเป็นครอบครัว ไม่มีแล้วครับ แล้วที่มีหลายคนถามว่ามา เจอที่บ้านไม่ได้เหรอ เพราะที่บ้านเราแจ้งไปแล้วไงครับ เราลงบันทึกประจำวันไปแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะเจอต้องเจอกันที่กลางเพื่อความปลอดภัยของวีจิ
ถาม แล้วถ้า พี่หนุ่ม งานลดลงน้อยกว่านี้ จะสามารถเจอกันได้สองครั้งไหม
หนุ่ม ศรราม : ตอนนี้เรื่องมันไปถึงหน่วยงานภาครัฐแล้ว เขาก็จะประเมินความพฤติกรรมของพ่อแม่และเด็ก ความเหมาะสมว่าเป็นอย่างไร เพราะทางเขาเป็นคนจัดให้ไปเรียบร้อยแล้วครับ
ถาม ผ่านความยากเย็นมาจนถึงทุกวันนี้ มีประโยคไหนไหม ที่เป็นประโยคที่ให้กำลังใจตัวเอง
หนุ่ม ศรราม : มีครับ ผมก็จะบอกตัวเองอยู่เสมอ สิ่งหนึ่งที่จะปลูกฝังให้ลูกเรื่องแรกเลยคือการมีสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูรู้คุณ รู้จักตอบแทนพระคุณคนที่มีพระคุณกับเรา ตอบแทนคุณแผ่นดิน ผมเชื่อว่าความกตัญญูคือเป็นสิ่งแรกที่มนุษย์พึงจะมี และสิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดอยู่เสมอว่าผมมีปัญญาเลี้ยงลูกได้แค่ไหน ผมก็จะเลี้ยงเท่านั้น เพราะว่าผมจำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ว่าความพอเพียงมันไม่ใช่แค่การกระทำอะไรเกินกำลัง แต่ความพอเพียงนั้นมันคือการลดความต้องการของตัวเองลง และเมื่อเราลดความต้องการของตัวเองลงได้เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นครับ
ถาม จะเป็นพ่อที่หวงลูกสาวไหม
หน่ม ศรราม : ตอนโต ผมก็มีคำพูดที่เตรียมไว้แล้วครับ คือ ถ้าคิดว่าไม่ใช่ ก็ไม่ต้องพามาเจอ ไม่ชอบรับไหว้ใครเยอะๆ
ถาม แล้วในวันข้างหน้าสำหรับตัวหนุ่ม จะเปิดใจ เผื่อมีใครแวะเวียนมาใหม่ไหม
หนุ่ม ศรราม : ยังไม่ได้คิดเลยครับ คือเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้วีจิมาอันดับหนึ่งอยู่แล้วครับ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยครับ เพราะเดี๋ยวสองขวบครึ่งก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว\