เมื่อวันที่ 11 พ.ย.63 ร.ต.อ.ธนชัย ศรีขาวรส รองสว.(สอบสวน) สภ.หนองน้อย จ.ชัยนาท รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย มีผู้เสียชีวิตที่บ้านเลขที่ 118 ม.2 ต.หนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมกำลังตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูจังหวัดชัยนาท และแพทย์เวร รพ.วัดสิงห์ รุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุ
โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว หน้าบ้านพบศพนายสอ อายุ 44 ปี สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงขายาวสีดำ สภาพศพโดนตีด้วยของแข็งที่ศีรษะ นอนจมกองเลือดคาที่นอนและหมอน จากการชัณสูตรพลิกศพผู้ตายมีแผลที่หลังศีรษะ เป็นแผลใหญ่ คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จึงนำส่ง รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป
ข้างกันพบไม้ประดู่ยาว 1 เมตร ซึ่งทางญาติได้นำมาจากกองไม้ที่เตรียมไว้ทำถ่าน เพราะเห็นว่าผิดสังเกต เป็นไม้ที่ใหญ่และมีรอยเลือด จึงคิดว่าน่าจะเป็นอาวุธสังหาร
จากนั้นเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.หนองน้อย ได้นำกำลังเข้าจับกุมนายธงชัย ชุ่มแพ อายุ 52 ปี ผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นพี่เขยของผู้ตายได้ที่บริเวณ ม.9 ต.มะขามเฒ่า ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนนายธงชัย เนื่องจากทั้งคู่เป็นไม้เบื่อไม้เมา มีปัญหากันมาโดยตลอด ไปทำการสอบสวน
โดยนายธงชัย ยังไม่รับสารภาพ แต่ก็จนมุมและยอมรับสารภาพในที่สุด ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันทีเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา พร้อมแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ซึ่งนายธงชัยไม่มีท่าทีสลด ยังเผยรอยยิ้มให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ
จากการสอบสวนทราบว่านายธงชัยทำงานก่อสร้าง ไปดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อนร่วมงาน พอกลับมาช่วงเวลาเกือบตี 3 เหลือบไปเห็นผู้ตายนอนอยู่ จึงเดินเข้ามาในบ้าน เดินวนไปวนมา แล้วตัดสินใจคว้าไม้ประดู่ยาว 1 เมตรจากกองไม้ไปตีเข้าที่ศีรษะของผู้ตาย 1 ครั้ง แล้วเดินเอาไม้มาเก็บ แล้วเข้ามาเอาของเพื่อเดินทางไปบ้านเพื่อนจนไปถูกตำรวจจับ
นายธงชัยชุ่มแพ ให้การว่า ตนและน้องเมียเคยมีปัญหากันเมื่อ 2 ปีก่อน มีปากเสียงกันในวงเหล้า เพราะน้องเมียไม่ค่อยเคารพตน น้องเมียไม่พอใจจึงคว้ามีดมาฟันคอเกือบขาด แต่ตนก็ให้อภัยน้องเมียจึงไม่ติดคุก แต่พอช่วงหลังน้องเมียมีท่าทีไม่พอใจ ตนจึงก่อเหตุขึ้นด้วยความโกรธ เพราะถ้าตนไม่ฆ่า ก็จะถูกฆ่าเสียเองอย่างแน่นอน
ทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับน.ส.สมคิด เมฆอิ่ม อายุ 52 ปี พี่สาวผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นอดีตภรรยาคนก่อเหตุ เปิดเผยว่า ตนเคยคบหากันกับนายธงชัย ชุ่มแพ วัย 51 ปี (ผู้ก่อเหตุ) มาแล้ว 35 ปี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 2 คน ลูกชายคนแรก อายุ 33 ปี ลูกชายคนที่ 2 อายุ 23 ปี จนกระทั่งปีพ.ศ. 2545 ได้เลิกรากันไป
นายธงชัย มีภูมิลำเนาอยู่ จ.อุทัยธานี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป หลังจากที่เลิกรากันไปก็เคยบวชพระอยู่ 2 ครั้ง ที่ จ.อุทัยธานี ซึ่งก็ไป ๆ มา ๆ เนื่องจากลูกชายคนเล็กอยู่ที่บ้านหลังนี้ สึกออกมานายธงชัยก็มีพฤติกรรมชอบดื่มสุราเป็นประจำ แล้วก็จะเที่ยวไปหาเรื่องคนในครอบครัวเป็นประจำ และมักขุดคุ้ยเรื่องอดีตเก่า ๆ มาพูด
ในอดีตตนก็เคยถูกนายธงชัยทุบตีทำร้ายร่างกาย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนเลิกกับนายธง เพราะนายธงชัยจะมีพฤติกรรมอันธพาลเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น ไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน เวลาที่นายธงชัยไม่ได้ดื่มสุรา ก็จะเป็นคนเงียบ ๆ ปกติ
วันเกิดเหตุวันที่ 11 ต.ค. 63 เวลาประมาณ 05.00 น. ตนตื่นมาเตรียมของเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับจุดเกิดเหตุ ตนก็ไม่ได้สงสัยอะไร ก็เตรียมของต่อไป ต่อมาเวลาประมาณ 07.30 น. มีชาวบ้านขับรถผ่านมา แล้วเห็นเหมือนมีลักษณะน้ำใส ๆ ไหลออกมาบริเวณจุดที่นายสออยู่ ตนจึงเดินเข้าไปเปิดดูแล้ว พบว่ามีเลือดออกบริเวณศีรษะของนายสอจำนวนมาก สภาพศพนอนหงายหันหน้าไปทางด้านขวา บริเวณใบหน้าตั้งแต่ช่วงเบาตา จนถึงโหนกแก้มมีรอยบุบ จากนั้นตนจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนสาเหตุที่นายธงชัย ลงมือก่อเหตนั้น ตนคาดว่ามาจากเหตุการณ์ที่เคยถูกฟันคอในอดีต แล้วคงแค้นฝังใจ
ด้านนางสำรวย เมฆอิ่ม อายุ 67 ปี แม่ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนรู้สึกลำบากใจ ซึ่งทุกครั้งที่มีการดื่มเหล้าแล้วมีอาการมึนเมา นายธงชัย จะมีพฤติกรรมโวยวาย ขู่จะทำร้ายคนนั้นคนนี้ในบ้าน ซึ่งตนก็ไม่สบายใจ อีกทั้งตนยังรับไม่ได้กับหลาย ๆ ครั้งที่นายธงชัย ทุบตีทำร้ายร่างกายน.ส.สมคิด ตนก็กลัวว่านายธงชัยจะใช้มีดแทงน.ส.สมคิด หวั่นใจทุกครั้งที่นายธงชัย ขู่จะฆ่าคนในครอบครัว ซึ่งตนก็เคยบอกกับนายธงชัยว่า อย่าทำหลาน อย่าทำภรรยา อยากทำให้มาทำที่ตน เพราะตนไม่เคยกลัว เนื่องจากอายุมากแล้ว จะตายก็ไม่กลัว ซึ่งนายธงชัยก็ไม่เคยกล้าทำร้ายตน สาเหตุการลงมือในครั้งนี้ ตนคาดว่าน่าจะมาจากที่นายสอ ปาดคอนายธงชัยในอดีต
ส่วนตัวรู้สึกเสียใจกับการเสียชีวิตนายสอ และก็โกรธนายธงชัยมาก ๆ ชีวิตนี้จะไม่ยอมให้อภัย และไม่อโหสิกรรมให้ การที่นายธงชัยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไป ถือเป็นอีกเรื่องที่น่าดีใจ เหมือนตัดชิ้นเนื้อร้ายออกไปจากครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่คุ้มกับการที่ต้องแลกกับชีวิตลูกชายไป
