ทนายบุญถาวร จี้สอบมูลนิธิ "ษิทรา" ถามผู้พิพากษาคนไหนชม "ตั้ม"

22 มี.ค. 61

ทนายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ สังกัดสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ จี้สอบมูลนิธิ "ษิทรา" ถามผู้พิพากษาคนไหนชม "ตั้ม" ขอทราบชื่อจริง

 

วันนี้ (21 มี.ค.) ที่บริษัท บุญถาวรกฎหมายและธุรกิจ จำกัด ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ อายุ 45 ปี ทนายความ ในสังกัดสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือถึงนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการมรรยาททนายความ เพื่อให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด สมาชิกสภาทนายความ ผู้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับใบอนุญาตเป็นทนายความ และมูลนิธิทีมงานทนายความประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ที่มีนายเกษม สมณวัฒนา เป็นผู้ขอยื่นจัดตั้งมูลนิธิต่อนายทะเบียนมูลนิธิ จ.สมุทรสาคร ว่า บุคคลและนิติบุคคลดังกล่าวข้างต้น ได้ร่วมกันจัดตั้งนิติบุคคล (มูลนิธิ) และดำเนินกิจการของมูลนิธิ เป็นการแข่งขันกับองค์กรสังกัดสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และกระทำการเข้าข่ายการกระทำผิด ตามข้อบังคับมารยาทและบทบัญญัติของกฎหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2538 หรือไม่

นายบุญถาวร ปัญญาสิทธิ์ อายุ 45 ปี ทนายความ

นายบุญถาวร กล่าวว่า กรณีมูลนิธิดังกล่าว ได้มีการระบุวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ในข้อ 3 ระบุว่า ช่วยเหลืออรรถคดีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเป็นผู้ยากไร้ ที่ไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือ จาก ร.ต.ท.จรูญ วิมูล ในคดีหวย 30 ล้าน ในนามมูลนิธิฯ ทั้งที่ผู้ร้องขอไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นผู้ยากไร้ อันเป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ซึ่งกรณีนี้ ขอให้ทางสภาทนายความได้พิจารณา ตรวจสอบรายละเอียดไปยังนายทะเบียนมูลนิธิ จ.สมุทรสาคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หนังสือถึงนายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

ทั้งนี้ นาย บุญถาวร ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้แล้วกรณีที่ นายษิทรา ได้เขียนข้อความว่า ตนเองได้ทำหน้าที่เป็นทนายความจำเลย ในคดีอาญาของศาลจังหวัดแห่งหนึ่ง สามารถว่าความแก้ต่างคดีให้จำเลยในคดีที่มายื่นคำร้องขอความช่วยเหลือมูลนิธิจนได้รับอิสรภาพ ภายหลังจากศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง และผู้พิพากษาคนหนึ่งได้พูดยกย่องตนเอง ต่อมา นายษิทรา ได้เขียนบทความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊ก หรือสื่อออนไลน์ของตัวเอง จนมีการแชร์รูปถ่ายที่มีการก้มกราบของจำเลย และข้อความไปในสื่อออนไลน์ ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่า กรณีดังกล่าว มีผู้พิพากษาพูดยกย่องทนายความจริงหรือไม่ และหากมีจริง อยากทราบว่าเป็นใคร กล่าวคำยกย่องฉบับเต็มว่าอย่างไร และเมื่อใด นอกจากนี้ ตนขอให้นายกสภาทนายความ และประธานกรรมการมรรยาททนายความ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากผลสรุปการตรวจสอบแล้วเป็นความจริง ตามคำร้องเรียนของตน และเข้าข่ายการกระทำข้อบังคับ ว่าด้วยจริยธรรมและมารยาททนายความแล้ว ขอให้ดำเนินคดีมารยาทกับผู้ถูกร้องเรียนตามระเบียบกฎหมายต่อไป

ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน

ด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ ทนายตั้ม เปิดเผยว่า มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเป็นมูลนิธิเล็กๆ ที่ช่วยเหลือประชาชนด้านกฏหมาย กลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ควรมายุ่งกับมูลนิธิฯ และหากจะมีการกลั่นแกล้งเกิดขึ้น ให้เจาะจงมาที่ตนเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่า การดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิ กำลังผิดตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งในข้อที่ 3 คือ ช่วยเหลืออรรถคดีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเป็นผู้ยากไร้ที่ไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีได้ โดยมูลนิธิฯเข้าไปช่วยในคดีหวย 30 ล้านบาท ทนายตั้มกล่าวว่า ความจริงแล้วมูลนิธิสามารถช่วยได้ทั้งหมด กรณีเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถช่วยได้ ไม่ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ใดๆ ส่วนค่าใช้จ่ายที่นำไปช่วยคดีหวย 30 ล้าน เป็นเงินส่วนตัวทั้งสิ้น ไม่เคยใช้เงินของมูลนิธิฯ ไปใช้ในทางคดีนี้เลย ทั้งนี้ เงินของมูลนิธิฯ ที่จะนำออกมาใช้ ก็เฉพาะกรณีโครงการสอนน้องให้เป็นคนดีของสังคม หรือโครงการที่ไปบรรยายด้านกฏหมาย ซึ่งหากจะกล่าวอ้างว่ามูลนิธิฯ นำเงินไปช่วยคดีหวย 30 ล้าน แล้วผิดวัตถุประสงค์จนต้องถูกถอดถอน ทนายตั้ม ระบุว่า “ไม่น่าจะใช่ และไม่เข้าเงื่อนไข” มีเพียงทางลุงจรูญ ที่บอกว่าหากคดีแล้วเสร็จ จะมอบเงินเข้ามูลนิธิฯ เท่านั้น ส่วนกรณีที่ถูกมองว่ามูลนิธิฯ กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อแข่งขันกับสภาทนายความนั้น ทนายตั้ม กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นมุมมองที่แคบเกินไป ความจริงแล้วทางมูลนิธิฯไปช่วยสังคม และสนับสนุนงานของสภาทนายความมากกว่า เพราะหลายมูลนิธิก็ทำเช่นนั้น ถ้าหากมองเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าทุกมูลนิธิก็กำลังแข่งกับสภาทนายความ ดังนั้นก็คงจะต้องถูกปิดทั้งหมดไปแล้ว

ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โชว์ ส.ค.ส. ปี 2561 จากสำนักพระราชวัง

ซึ่งภายหลังจากที่ทนายษิทราให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวได้สอบถามในประเด่นต่างๆเกี่ยวกับคดี จากนั้น ทนายทนายษิทราได้หยิบเอา ส.ค.ส. ปี 2561 จากสำนักพระราชวัง ที่ระบุข้อความว่า “ขอส่งความสุข ด้วยความปรารถนาดี เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่” ลงชื่อ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี และหน้าซองได้ระบุชื่อพร้อมที่อยู่ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ มาเปิดให้ให้ทีมข่าวดู พร้อมเปิดใจเล่าต่อว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่ ได้รับ ส.ค.ศ.จากสำนักพระราชวัง โดยท่านองคมนตรีส่งมาให้ในวันขึ้นปีใหม่ และ ส.ค.ส.นี้ เป็นขวัญกำลังใจสำคัญอย่างมาก เวลาที่ตนเองท้อแท้ เจอกับมรสุม ก็หยิบ ส.ค.ส.ขึ้นมาดู เพื่อเป็นกำลังใจในการทำความดีต่อไป นอกจากนี้ เมื่อถามว่ามรสุมที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง ทนายษิทราบอกว่า ก็หลายๆเรื่องที่มีคนพยายามกลั่นแกล้ง มีคนร้องเรื่องมรรยาทและ เรื่องที่ถูกร้องให้ปิดมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส