"แผน" ยันเสียงแข็งไม่รู้จัก "จรูญ" แต่เห็นถือหวย-ษิทรา เปิดโปงเคยโผล่ไปบ้านลุง (คลิป)

14 มี.ค. 61
จากกรณีหวย 30 ล้านบาท ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ล่าสุด นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือ “แผน” ที่เคยเป็นพยานฝ่ายครูปรีชา ซึ่งเคยให้การกับทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้เดินทางไปร้องต่อศาล และศูนย์ดำรงธรรม โดยขอให้มีการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน ในคดีลอตเตอรี่ 30 ล้าน ของครูปรีชา ใคร่ครวญ เนื่องจาก “นายแผน” มองว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เข้าร่วมพูดคุยในรายการ "ต่างคนต่างคิด"
โดยวันนี้ ( 13 มี.ค. 61) “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น.ได้เชิญ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ และ พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ เข้ามาร่วมพูดคุยในรายการ
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ
ทนายษิทรา กล่าวว่า กรณีที่ นายแผน ได้ไปร้องเรียนเพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น ตนมองว่า นายแผน ไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องดังกล่าวขึ้นเอง เพราะก่อนหน้านี้ มีพยานฝ่ายครูปรีชา 2 คน ได้เข้าร้องต่อศาลในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งตนเชื่อว่า มีคนคอยให้คำแนะนำ เพื่อหวังผลบางอย่างในทางคดี ส่วนกรณีที่ นายแผน ได้ไปยื่นคำร้อง เพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น สามารถไปร้องที่หน่วยงานต้นสังกัดได้เลย ไม่จำไปต้องไปร้องที่นายกฯ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยว ข้องในคดี ตนเชื่อว่านายแผน เพียงแค่ต้องการให้สื่อมวลชนสนใจ และสร้างกระแสเท่านั้น โดยเฉพาะในวันนี้ที่ นายแผน ได้ไปออกรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ก็เป็นการกล่าวร้าย นายตำรวจระดับสูงคนหนึ่ง เพียงเพราะต้องการดึงให้นายตำรวจท่านนี้ ลงมาเกี่ยวข้องกับคดี และเพื่อให้ประชาชนมองว่า ตำรวจที่ทำคดีหวย 30 ล้าน กำลังเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นความจริง
พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองผู้บังคับการจเรตำรวจ
ด้าน พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า โดยหลักแล้วจะไม่มีการดำเนินคดีกับพยานง่ายๆ ส่วนใหญ่จะต้องรอให้คดีถึงที่สุด หรือความจริงปรากฎก่อน เช่น อัยการสั่งฟ้อง หรือ ไม่ฟ้อง หรือ คดีไปถึงศาลแล้วศาลยกฟ้อง เป็นต้น และต้องมีหลักฐานว่า พยานปากนั้น ได้ให้การเท็จในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ และมีเจตนาให้การเท็จ ซึ่งต้องมีความชัดเจนในส่วนนี้เสียก่อน จึงจะสามารถบอกได้ว่าเป็นพยานเท็จ ส่วนกรณีที่ นายแผน ไปร้องเพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนนั้น เป็นไปได้ว่า อาจกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี ในฐานะพยานเท็จ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีพยานฝ่ายครูปรีชา ได้ไปร้องต่อศาลก่อนหน้านี้แล้วหลายคน กรณีที่จะมีคนแนะนำให้ไปร้องเรียนหรือไม่นั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ ซึ่งตนมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด ส่วนตัวมองว่า พยานมีสิทธิ์ที่จะคิดว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยได้ไปให้การ และคิดว่าตนได้ให้ความไปตามความเป็นจริง และต่อมาในคำให้การในครั้งที่สอง นายแผน อ้างว่าถูกบังคับให้พูดอีกอย่าง ซึ่งหากที่ นายแผน กล่าวอ้างเป็นความจริง ก็ไม่ถือว่านายแผนเป็นพยานเท็จ ทางด้าน ทนายษิทรา มองว่า ในส่วนที่กล่าวว่าต้องรอให้คดีสิ้นสุดก่อน จึงจะสามารถเอาผิดกับพยานได้นั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะนับตั้งแต่ผู้เป็นพยานได้ไปให้การ และมีหลักฐานว่าพยานรายนั้นให้การเท็จ ถือว่าความผิดเกิดขึ้นแล้ว สามารถดำเนินคดีได้เลยไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุด กรณีของนายแผนนั้น ได้กล่าวอ้างว่า มีนายตำรวจท่านหนึ่ง บังคับให้ตนให้ปากคำต่างไปจากที่ให้ไว้ในครั้งแรก แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ต้องดูว่า ตามเอกสารที่นายแผน เคยให้การไว้กับตำรวจภูธรภาค 7 นั้น เป็นอย่างไร เพราะหาก นายแผน ให้การไม่เป็นความจริง ไม่ต้องมีเอกสารจากทางกองปราบมาอ้างอิงก็ได้ และความผิดก็เกิดตั้งแต่วันที่นายแผน ไปให้การกับทางกองปราบปรามแล้ว และศาลจะตัดสินได้อย่างไรว่านายแผน เป็นพยานเท็จ หรือไม่ หากไม่มีใครแจ้งความดำเนินคดีกับนายแผน
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ได้แสดงความคิดเห็นที่ต่างกันในรายการ
พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว่า คำให้การในครั้งแรก หากพยานให้การอย่างไร ก็ต้องให้พยานยืนยันตามนั้น ส่วนจะมาเปลี่ยนคำให้การเป็นอีกอย่างนั้น ต้องพิจารณาว่า เพราะเหตุจูงใจใด ใครเรียกมาสอบ ใครบอกให้พูดอย่างนี้ หรือพูดเอง โดยไม่ได้คิดถึงคำให้การก่อนหน้านี้ ซึ่งในส่วนนี้ต้องมีการนำมาพิจารณา ในส่วนที่มีนายตำรวจท่านหนึ่ง ออกมาพูดในลักษณะบอกกับพยานว่า “ให้กลับตัวเสีย หากทำอย่างนี้อาจจะถูกดำเนินคดี” นั้น ตนมองว่า เป็นการพูดชักจูง พูดให้เกิดความสับสน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะพยานนั้น เขาจะให้การอย่างไรก็ปล่อยให้เขาให้การไป จะจริงหรือเท็จอยู่ที่เขา ไม่ต้องไปบอกเขาว่า พูดแบบนี้จะติดคุก หรือพูดแบบนี้จะไม่ติดคุก ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.วิรุตม์  มองว่า เรื่องดังกล่าว กำลังเป็นปัญหามากสำหรับประเทศไทย หากเราคุยกันแบบไม่ถึงที่สุด คนที่เป็นพยานจะต้องติดคุกกันเป็นจำนวนมาก และจะหวาดหวั่นกันไปหมด ส่วนที่จะมีการแจ้งข้อกล่าวหา เพื่อดำเนินคดีนั้น ตนมองว่า ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอ เช่นกรณีของครูปรีชา เรื่องของสัญญาณโทรศัพท์ ที่มีการกล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงพยานแวดล้อม ไม่ใช่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพราะมนุษย์กับโทรศัพท์ ไม่ได้อยู่ติดกันตลอดเวลา บางทีอาจจะอยู่กันคนละที่ และวันที่ ที่ได้แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ไว้ อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ ตนมองว่าเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ นายษิทรา ยังได้กล่าวว่า ตนคิดว่า “นายแผน” คือคนนอกที่ดันมาฮึดสู้ในเรื่องคดีหวย 30 ล้าน แต่ตนคิดว่าที่ฮึดสู้ เพราะอาจจะกลัวถูกดำเนินคดี แต่เรื่องนี้ตนมองว่า เป็นเรื่องที่แปลก แต่ถือว่าความผิดของนายแผน นั้นเกิดขึ้นแล้วเพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ให้การเท็จ ขณะนี้ทางกองปราบปราม ยังไม่ได้มีการเรียกตัวนายแผน ไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่ตนจะให้ทาง ร.ต.ท.จรูญ ไปแจ้งข้อหากับนายแผน เช่นกัน ส่วนการที่นายแผน ร้องขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนในคดีนั้น ตนมองว่าจะเปลี่ยนโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ และตนอยากถามนายแผน ว่า จะมาเกี่ยวกับคดีนี้ในฐานะอะไร
นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือ “แผน” ยื่นเอกสารเพื่อขอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนในคดีหวย 30 ล้านบาท
ทนายษิทรา เปิดเผยอีกว่า ความจริงแล้วนายแผน เคยเจอกับลูงจรูญ ที่บ้านก่อนหน้านี้แล้ว นายแผนไม่ได้รู้จักลุงจรูญ จากสื่อตามที่เคยกล่าวอ้างว่า ตนเองไม่เคยเจอกับลุงจรูญ มาก่อน นอกจากนี้ ทนายษิทรา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 60 ลุงจรูญ ต้องการหาทนายความมาดูแลคดีหวย แต่หาไม่ได้ จึงไปหาผู้จัดการธนาคารกรุงไทยสาขาหนึ่ง แล้วทางผู้จัดการได้แนะนำให้มาหาตน โดยในวันที่พบกันครั้งแรกนั้น นายแผน ได้เดินทางไปที่บ้านลุงจรูญ กับผู้จัดการธนาคาร รองผู้จัดการธนาคาร และเจ้าหน้าที่อีกหนึ่งคน เพื่อแนะนำให้มาหาตนที่จังหวัดสมุทรสาคร ในวันที่ 3 ธ.ค. ซึ่งตนคิดว่า เรื่องนี้ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอบสวนบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด เนื่องจากตนตั้งข้อสังเกตว่า การที่มีคนมาที่บ้านลุงจรูญนั้น มาเพื่อเก็บข้อมูลอะไรบางอย่างหรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อ ทนายษิทรา เปิดประเด็นนี้ ทาง พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า ต้องนำข้อเท็จจริงนี้ไปให้ทางพนักงานสอบสวนเพื่อสอบปากคำนายแผน รวมถึงเรื่องสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น ต้องมีการตรวจสอบว่า วันที่ครูปรีชา ไปที่ตลาดนั้นได้พกโทรศัพท์มือถือไปด้วยหรือไม่ และยืนยันว่า การที่ตนออกมาพูดเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการเข้าข้างครูปรีชา อย่างไรก็ตาม นายษิทรา กล่าวว่า เรื่องสัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น วันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ได้ไปจำลองเหตุการณ์ ทางครูปรีชา ได้นำโทรศัพท์ไปด้วย และตนคิดว่าเรื่องนี้ในวันขึ้นศาล ต้องสู้กันอย่างเข้มข้นแน่นอน สำหรับคดีนี้ตนมองว่า จะเป็นบทเรียนให้กับสังคมเป็นอย่างดี ในเรื่องการอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน และเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องของขบวนการ
นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม พยานฝ่ายครูปรีชา
ด้าน นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือ แผน กล่าวว่า หลังจากเดินทางไปยื่นเอกสาร ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากนี้ อาจจะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่าตอนที่ตนอยู่นิ่งๆ และไม่ทำอะไรเลย ซึ่งตนไม่รู้จักกลุ่มครูปรีชา และพยาน รวมไปถึงลุงจรูญด้วย ไม่เคยเจอ เพิ่งมารู้จัก หลังจากที่โดนคดี และเจอกันเมื่อวาน (12 มี.ค.) ที่ผ่านมาเท่านั้น โดยสามารถตรวจสอบได้ ก่อนจะเร่งรีบเดินออกไปพร้อมเจ๊เกียวทันที
น.ส.กนนพรรณ หมวกไสว หรือ ฟ้า คนสนิทครูปรีชา
นอกจากนี้ น.ส.กนนพรรณ หมวกไสว คนสนิทครูปรีชา กล่าวว่า ตัวเองไม่กังวลเหมือนเดิม ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่เคยกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐาน หากวันหนึ่งมีหมายจับมาหาตนจริง ตนก็พร้อมสู้ และยืนอยู่บนความถูกต้อง ตามขั้นตอน และเดินตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนใครที่ข่มขู่ตนออกสื่อ หรือมากล่าวหาตน โดยเห็นว่าตนเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ขอให้รับผิดชอบคำพูดด้วย ซึ่งต้องมีหลักฐานมายืนยันความจริงด้วย และหลังจากนี้ตนจะดำเนินคดีกับทุกคน ซึ่งพยานที่ถูกออกหมายจับนั้น ยอมรับว่า เสียกำลังใจมาก ซึ่งตนก็คอยให้กำลังใจ ถึงแม้วันนี้ตนจะถอยออกมาแล้ว แต่ไม่ได้ทิ้งทุกคน อีกทั้งคนที่บอกว่า การถอยออกมาแล้ว ก็อาจจะไม่รอด ต้องรับผิดชอบด้วย ที่ตนจะไม่รอดนั้น คือไม่รอดอะไร อย่ากล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ