เกษตรกรชาวสวนชมพู่เจอพิษโควิด ไม่มีพ่อค้ามารับซื้อ ต้องนำผลผลิตไปทิ้ง
เกษตรกรชาวสวนชมพู่ จ.เพชรบูรณ์ เจอพิษโควิดต้องนำผลผลิตไปทิ้ง หลังราคาตกต่ำจนประสบปัญหาการขาดทุน ไม่มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ ผลผลิตล้นตลาด บางรายต้องปล่อยให้เหี่ยวเฉาตายคาต้น
จากกรณี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ แต่ยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้ ขณะที่พ่อและแม่น้องชมพู่ ก็รู้สึกพึงพอใจที่ตำรวจยังไม่พักคดี ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
จากนั้นลุงพลได้อยู่ต่อที่กรุงเทพฯ เพื่อไปร่วมเล่นคอนเสิร์ตกับหญิงลี ศรีจุมพล ที่จ.สมุทรปราการ เมื่อแล้วเสร็จลุงพลและป้าแต๋น ก็ได้เดินทางไปพักที่บ้านหมอปลาที่ จ.เพชรบุรี และปรึกษาเกี่ยวกับคดีน้องชมพู่
ล่าสุดวันที่ 4 ต.ค.63 หมอปลา ลุงพล และป้าแต๋น ได้มีการพูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ ประเด็นแรก คือ คิดเห็นอย่างไร กรณีผบ.ตร.บอกว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เก็บได้ ช่วยได้ไม่มากพอ ลุงพล กล่าวว่า เรื่องนี้เชื่อว่าตำรวจน่าจะมีหลักฐานมากพอ จากการใช้ระยะเวลา 4 เดือนในการรวบรวมพยานหลักฐาน แม้ว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะเก็บได้ไม่มากพอ แต่หลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปยังตัวคนที่กระทำความผิดน่าจะมี
ประเด็นที่ 2 เวลาช่องโหว่ของลุงพล 7-15 นาที ตำรวจจะตัดลุงพลออกจากคดีหรือไม่ ลุงพล ตอบว่า อยากจะย้อนถามว่าเวลาที่พ่อแม่ชมพู่ออกจากบ้านตั้งแต่กี่โมง ปล่อยน้องสดิ้งกับน้องชมพู่อยู่กันตามลำพังตอนกี่โมง และมีใครบ้างอยู่บริเวณนั้น เพราะตำรวจไม่มีการพูดถึง
ประเด็นที่ 3 คิดอย่างไรที่นักวิชาการบอกว่า คนร้ายมีแค่ 1-2 คน เป็นคนใกล้ชิด ลุงพล ตอบว่า ถ้าให้ตนคิดตนคิดว่าหมอดูคู่กับหมอเดา นั่นคือการวิเคราะห์ เพราะไม่เห็นภาพจริง
ประเด็นที่ 4 การที่ตำรวจจำกัดเวลาการหายตัวไปของน้องชมพู่ ระหว่างเวลา 09.11 - 09.49 น. มีผลต่อลุงพลหรือไม่ ลุงพล ตอบว่า นั่นน่าจะเป็นหลักฐาน และข้อมูลที่ยืนยันว่าน้องสดิ้งไม่ได้หลับ มีการเล่นโทรศัพท์หรือเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ และเวลาช่วงนั้นจริง ๆ ก็น่าจะเกี่ยวพันไปหมดกับทุกคน
ขณะที่หมอปลา เปิดเผยว่า อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ว่า เวลาที่น้องชมพู่หายตัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาการตามหาคนหาย มีญาติของน้องชมพู่ได้ประกาศตามหาบนเฟซบุ๊ก โดยบอกถึงรูปร่างลักษณะ และช่วงเวลาการหายไว้ก่อนที่จะเป็นคดีน้องเสียชีวิต หลักฐานตรงนี้อยากให้ตำรวจตรวจสอบ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ระบุช่วงเวลาการหายจากทางญาติที่ไม่ตรงกันกับเวลาที่ตำรวจระบุในวันแถลง ตนจึงเชื่อว่าตรงนี้มีส่วนสำคัญว่า หายจริงเวลาใด
อีกประเด็นก็คือในวันที่ ผบ.ตร.แถลง ท่านก็ยืนยันว่าตำรวจไม่สามารถระบุได้ ว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัย หรือเป็นผู้ต้องหา เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่กลับพบว่าวันเดียวกันมีสื่อช่องหนึ่ง ระบุในข่าวว่า มีข้อมูลมาจากชุดสืบสวนว่า การหายตัวไปของน้องชมพู่มีส่วนเกี่ยวพันกับลุงพล จึงอยากให้ผบ.ตร.ตรวจสอบดูว่า ใครโกหกกันแน่ แล้วสื่อช่องดังกล่าวระบุชัดเจนว่าเป็นข้อมูลมาจากชุดสืบสวน ซึ่งประเด็นนี้ขัดแย้งกับ ผบ.ตร.แถลง จึงสร้างความเสียหายให้กับลุงพล