กรณีคลิปเสียงปริศนา EP3 จากยูทูบช่องหมอปลา ได้ปล่อยคลิปเสียงชาวบ้านกกกอก คุยกับผู้หญิงรายหนึ่ง เกี่ยวกับ เรื่องที่ “พ่อแม่น้องชมพู่” ส่อแววพิรุธ ในการไม่ไปรับศพลูกเอง และกลับคำให้การตำรวจเรื่อง “น้องสดิ้ง” หลับ รวมไปถึง “น้าเสริม” บุคคลสำคัญที่ทราบว่า “พ่อแม่น้องชมพู่” หายขึ้นเขาไปตอนตี 1- 3 แต่กลับคำให้การกับตำรวจว่าไม่รู้ไม่เห็น
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
โดยหญิงสาวรายนี้ พูดคุยถึงพฤติกรรมพ่อแม่น้องชมพู่ว่า ช่วงแรก ๆ สงสัยทุกคนในหมู่บ้าน ให้ตำรวจเชิญไปสอบปากคำหมด สอบคนติดยาในหมู่บ้าน พ่อแม่ของคนที่โดนเอาไปสอบปากคำก็โกรธ
คลิปเสียงคนในบ้านกกกอก ยังเปิดเผยอีกว่า อีกอย่างเขาไม่ชอบพ่อแม่น้องเพราะว่า โกหก ทำไมโกหกคนตั้งแต่แรกว่า “สดิ้ง” หลับ คนมาหาเยอะแยะหลายหน่วยงาน ทำไมไม่พูดความจริงตั้งแต่วันนั้น
ล่าสุดวันที่ 2 ต.ค.63 ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จ ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้กลับไปย้อนบทสัมภาษณ์ของนางสาวิตรี นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อและแม่ของน้องชมพู่ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ก.ค.63 ที่ผ่านมา โดยนางสาวิตรี ระบุว่า เรื่องการขึ้นเขานั้น ยอมรับว่าก่อนที่ตนจะผ่าคลอดน้องชมพู่ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เคยขึ้นเขาไปหาของป่าจริง หลังจากที่ตนผ่าคลอดน้องชมพู่ ตนก็ไม่เคยขึ้นเขาอีก และก็ไม่มีธุระอะไรที่ต้องไปขึ้นเขาอีก เพราะตนต้องเลี้ยงลูกและงานของตนก็มีให้ทำ
จากกระแสข่าวที่ว่า หลังจากที่ตนไปค้นหาน้องชมพู่ที่ภูเหล็กไฟ วันที่ 12 พ.ค.63 แล้วหลังจากนั้นตนไม่ไปที่ภูเหล็กไฟอีก เพราะเจอศพน้องชมพู่มาก่อนหน้านี้หรือไม่ นางสาวิตรีตอบว่าที่ตนไม่ขึ้นเขาค้นหาน้องชมพู่อีก เพราะตอนนั้นมีญาติ และชาวบ้านมาให้ความช่วยเหลือจำนวนมาก ตนก็ต้องรับแขก และต้องไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนขอยืนยันว่าที่ตนไม่ขึ้นไปบนเขาอีก ไม่ใช่เพราะตนไปเจอศพลูกสาวมาก่อน ถ้าตนเห็นจริงคงไม่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ จนถึงขั้นมาทะเลาะกันกับลุงพลขนาดนี้
เมื่อสรุปคำชี้แจงเรื่องเวลาของลุงพล ที่ยังเป็นปริศนา ตั้งแต่เวลา 09.45 น. ลุงพลออกไปรับพระ ใช้เวลาขับรถประมาณ 14.54 นาทีถึงวัดเวลา 10.07 น. ดังนั้นจากเวลาปริศนา 22 นาที ทำให้ลุงพลเหลือเวลาอีกประมาณ 7.06 นาที
ขณะที่ ผบ.ตร. บอกว่า เส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุไม่มีรากผม ทำให้ไม่สามารถตรวจ DNA แบบระบุคนได้ ทราบเพียงว่าเป็น DNA ของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับน้องชมพู่ทางฝ่ายหญิงเท่านั้น เช่น ยาย เเม่ ป้า น้า น้อง รวมถึงไม่ได้หมายความว่า เส้นผมที่พบจะเป็นของคนร้ายเสมอไป
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ ผบ.ตร.ไม่ตอบ มี 3 คำถาม ได้แก่ 1.คนร้ายทำคนเดียวหรือเป็นขบวนการ 2.มีผู้ต้องสงสัยทั้งหมดกี่คน และ 3.การตายของน้องชมพู่เกิดจากจงใจหรือพลาดพลั้ง
ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จ ทีมข่าวได้สัมภาษณ์ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมอีกครั้ง เปิดเผยว่า หลังจากฟังแถลงแล้วก็เป็นไปตามสิ่งที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนหน้าการแถลง ว่าตำรวจจะมีการสรุปคดี แต่ยังไม่พัก ซึ่งกรณีนี้ตำรวจก็ต้องสืบสวน สอบสวนต่อไป
ทั้งนี้ตนเชื่อว่าตำรวจมีวิธีการหาตัวคนร้าย ซึ่งตนมองว่าวันนี้ก็ต้องมีการเทียบเวลาตายใหม่ เพราะช่วงเวลาการตาย น้องชมพู่ตายวันที่ 12 - 13 พ.ค.63 ในช่วงเวลา 14.30 - 14.30 น.ของอีกวัน ซึ่งก็ต้องมาดูว่าใครอยู่ตรงไหนบ้าง
ตอนนี้ก็ยืนยันผู้กระทำความผิดไม่ได้ แต่ยืนยันได้ว่ามีคนพาไป ซึ่งทำให้น้องชมพู่ตาย ตนคิดว่า ผบ.ตร.มีคนที่สงสัย แต่การจับคนร้ายมันต้องขึ้นศาลแล้วไม่หลุดคดี เพราะหากจับแล้วหลุดในศาลจะกลายเป็นคดีแพะทันที ส่วนวันนี้ตนไม่ได้มาพบลุงพล หรือทักทายอะไร ส่วนตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีข้อพิพาทกัน เรื่องนั้นขอให้ไปเจอกันบนชั้นศาล ตนไม่ได้มาขอโทษลุงพลตามที่คนอื่นคิด ตนยืนยันว่าตนไม่ได้ผิดอะไร
พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช ฉายาสารวัตรแรมโบ้ อดีตผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ และอดีตสารวัตรกองปราบนครบาล บอกว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ตอบคำถามว่า คนร้ายมีกี่คน คิดว่า น่าจะขาดประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อม น่าจะมองออกว่า คนร้ายทำงานเป็นทีม ทำกันหลายคน คนเดียวทำงานนี้ไม่ได้ คนร้ายจะอุ้มเด็กขึ้นไปคนเดียวไม่ได้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น่าจะมองออกว่าคนร้ายเป็นกลุ่มไหน และคนร้ายคงจะเครียดนอนไม่หลับ เพราะกรรมที่ทำไว้ ซึ่งคดีมีอายุความถึง 20 ปี
ทั้งนี้ตนยืนยันว่าจะช่วยต่อไป เรื่องรวบรวมเงินรางวัลนำจับ ให้ได้ถึงหลักล้านบาท ใครอยากสมทบทุนติดต่อมาได้ทันที หรือใครมีเบาะแสให้ประสานมาได้เลย ถ้าออกหมายจับได้ก็จะมอบเงินรางวัลนำจับให้ทันที และมั่นใจว่าคดีนี้จับคนร้ายได้แน่นอน
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อถามถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับการแถลงการณ์ในวันนี้
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ เปิดเผยว่า สำหรับการทำคดีตายผิดธรรมชาติของตำรวจนั้น จะมีการสืบสวนและสอบสวนควบคู่กันไป ซึ่งการสืบสวนเชิงลึกจะมีการเช็กข้อมูลทุกอย่าง ทั้งบุคคล ผู้ต้องสงสัย พยานแวดล้อม และข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าตำรวจคงจะเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ไปยังผู้ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อาจจะยังเชื่อมไปไม่ถึง จึงอาจจะเป็นที่มาที่ ผบ.ตร. พูดว่า "มีผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่พูดไม่ได้" คาดว่าพยานอาจจะไม่ชัดเจน เพียงพอที่จะออกหมายจับผู้กระทำความผิด
กรณีที่ ผบ.ตร. บอกว่า คนที่ก่อเหตุได้ จะต้องมีเวลาว่างในห้วงเวลาที่น้องชมพู่หายไป ซึ่งลุงพลมีเวลา 7-15 นาที ที่ยังตอบไม่ได้อยู่นั้น ในกรณีนี้ถ้ายังไม่มีหลักฐานอะไรมาตัดว่าลุงพลไม่เกี่ยวข้องกับคดีเลย ตำรวจก็จะคงค้างข้อสงสัยในตัวลุงพลไว้โดยที่ไม่ตัดออก
สำหรับกรณีที่ ผบ.ตร. บอกว่า พยานทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นช่วยอะไรไม่ได้มากอย่างที่หวังเอาไว้ กรณีนี้ตนมองว่า พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในที่เกิดเหตุมีไม่มากพอ หรืออาจจะเก็บได้ไม่มากพอ ซึ่งน้องชมพู่ไปเสียชีวิตในป่า จึงมีความน่าเชื่อว่าคดีนี้จะมีการเคลื่อนย้ายอำพรางศพจากที่อื่นขึ้นไปไว้ที่จุดพบศพ ดังนั้นจึงทำให้เป็นไปได้ว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาตร์บริเวณจุดพบศพมีน้อย
ประเด็น DNA เส้นผมที่พบนั้น มีการตรวจสอบและพบว่าเป็น DNA สายทางแม่ ตนมองว่าการรวบรวมหลักฐานนั้น จะเชื่อแค่ผลการตรวจเส้นผมเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องดูหลักฐานอย่างอื่นประกอบด้วย ต้องดูที่มาของเส้นผมว่าได้มาอย่างไร เพราะการได้มาของหลักฐานนั้นมีความสำคัญ อาจจะเกิดการกลั่นแกล้งโดยมีคนนำเส้นผมของญาติไปวางในที่เกิดเหตุก็ได้
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนเชื่อว่าตำรวจมีรายชื่อผู้ต้องสงสัยอยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว อาจจะเหลืออยู่แค่ 1-2 คนเท่านั้น ส่วนเรื่องแรงจูงใจในการก่อเหตุนั้น ก็ยังเป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องหาความเชื่อมโยงว่า ทำไมคนร้ายต้องทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต ซึ่ตนเชื่อว่าบุคคลที่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่เกี่ยวข้องการเสียชีวิต และจะต้องเป็นคนในละแวกหมู่บ้านของน้องชมพู่ รวมถึงต้องเป็นคนที่น้องชมพู่ไว้ใจและใกล้ชิด เพราะโดยปกติน้องชมพู่จะไม่ให้ใครเข้าใกล้หรืออุ้มถ้าหากไม่คุ้นเคย
ในช่วงเช้าทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานที่วัดบ้านกกกอก จ.มุกดาหาร ชาวบ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ได้รวมตัวกันทำบุญตักบาตร เนื่องในวันออกพรรษา
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อและแม่ของน้องชมพู่ นางจุไรภรณ์ สุขพันธ์ น้าของน้องชมพู่ รวมทั้งตาชาญ ยายสมควร หลาบโพธิ์ ก็ได้ร่วมทำบุญตักบาตรในวันออกพรรษาอีกด้วย
และนอกจากครอบครัวน้องชมพู่ ยังมีป้าถอน และชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มาร่วมทำบุญออกพรรษาในวันนี้ หลังจากทำไหว้พระทำบุญเสร็จ นางสาวิตรี แม่น้องชมพู่ได้ออกมากรวดน้ำที่ต้นไม้ด้านนอกวัด
พอเสร็จจากการทำบุญออกพรรษาที่วัดบ้านกกกอก พ่อแม่น้องชมพู่ ได้เดินทางไปต่อที่สถูปเก็บอัฐิของน้องชมพู่ ที่บริเวณวัดถ้ำภูผาแอก พร้อมกับนำอาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ไปวางที่สถูปน้องชมพู่
สำหรับข้าวของที่นางสาวิตรีนำไปวางให้น้องชมพู่ที่สถูป ได้แก่ ขนมปัง ไข่เจียว ข้าวเหนียวปั้น น้ำดื่ม และกล่องเครื่องสำอาง ที่น้องชมพู่ชอบไปยืมน้าต่ายมาเล่น ตอนที่น้องยังมีชีวิต
โดยระหว่างที่แกะกล่องเครื่องสำอางออกมาวางหน้าสถูป นางสาวิตรีได้พูดกับทีมข่าวว่า "กล่องนี้ น้องชอบไปเอากับน้าต่ายตลอดเลย ตอนน้องยังอยู่น้องชมพู่จะไปเอามาเล่นตลอด น้องชมพู่จะรู้เลยว่ากล่องนี้ จะทำให้น้องสวยได้ และน้าต่ายก็จะแต่งหน้าให้น้อง"
จากนั้นแม่น้องชมพู่ได้จุดธูปเทียนที่หน้าสถูป พร้อมกับวางกล่องนมเปรี้ยวสีเขียวที่น้องชมพู่ชอบ ไว้หน้าสถูปเช่นเดียวกัน ก่อนจะเรียกลูกสาวว่า "ชมพู่กินอิ่มนอนหลับไม่ต้องอาฆาตใคร" จากนั้นพ่อน้องชมพู่ได้พูดสั้น ๆ ว่า "มาเด้อลูก"
หลังจากนั้น นางสาวิตรีได้ใช่ไม้เขี่ยที่สถูปน้องชมพู่ ซึ่งมีดินติดเป็นคราบสกปรก ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน นางสาวิตรีได้พูดสั้น ๆ อีกว่า "แม่เอาขนมที่น้องชอบมาให้ ให้ลูกแม่กอนอิ่มนอนหลับ" จากนั้นนางสาวิตรี และนายอนามัย ก็เดินทางกลับบ้าน
หลังจากที่พ่อแม่น้องชมพู่ฟังแถลงข่าวเสร็จ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว สวมเสื้อสีน้ำเงิน มีกระเป๋าคาดเอว 1 ใบ เดินทางมาจาก จ.อุบลราชธานี เพื่อมายังบ้านแม่น้องชมพู่
จากนั้นหญิงรายนี้ก็พูดขึ้นมาว่า ตนไม่ใช่ร่างทรง แต่เป็นนักสื่อสารพลังจิต ตนสามารถช่วยคดีน้องชมพู่ได้ ตนมาที่บ้านของน้องชมพู่ เพราะสามารถสื่อสารกับน้องชมพู่ได้ ถ้าตนขึ้นมาช่วยสื่อสารกับน้องชมพู่ตั้งแต่เดือน พ.ค.63 ที่ผ่านมา คดีสำเร็จแล้ว
จากนั้นหญิงคนดังกล่าวที่อ้างตัวว่าเป็นนักสื่อสารพลังจิต ก็มีการพูดเป็นภาษาประหลาด ๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่อง จากนั้นหญิงรายนี้ก็ย้ำอีกว่า ตนเดินทางมาจาก จ.อุบลราชธานี แล้วหญิงรายนี้ก็ทำท่าร้องไห้ออกมา พร้อมกับพูดว่า "ส่งเสียงมา มีพลังจิต ข้าอยากจะช่วย แต่ว่าตัดข้า ตัดข้าทำไม ข้าช่วยได้ ข้าก็จะช่วย"
หญิงรายนี้ยังบอกอีกว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สรุปคดีไม่ได้ จับคนร้ายไม่ได้ ก็เพราะตำรวจเป็นสายมนตร์ดำ ส่วนตนนั้นเป็นนักสื่อสารพลังจิต มีเทพกว่า 10 องค์ลงมาอยู่ที่ร่างของตน จากนั้นนักสื่อสารพลังจิตได้บอกอีกว่า ไม่มีใครฆ่าน้องชมพู่ ใครเชื่อเรื่องมนตร์ดำคนนั้นจะรู้ คดีนี้ตำรวจทำงานไม่ถึงหรอก ส่วนนักข่าวก็สร้างกระแส อย่างไรก็ตาม วิธีที่จะแก้มนตร์ดำก็ต้องให้ พ่อแม่น้องชมพู่ แต่งขันธ์ 5 มาให้ตน แล้วตนจะพาทำพิธีช่วยตามหาคนร้าย
ขณะที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงถึงความคืบหน้าคดีชมพู่ว่า ตนติดตามทุกวัน ติดตามทุกเรื่อง พอไม่พูดถึงก็บอกว่านายกฯ ไม่ได้ตาม นายกฯ ทำงานทุกวัน เรื่องไหนค้าง เรื่องไหนตามก็ว่ากันไป
เมื่อถามว่า สรุปได้ตัวคนร้ายแน่นอนใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ฟังที่ ผบ.ตร.แถลง ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีการรายงานมาว่า มีความก้าวหน้าอย่างไร สงสัยอย่างไร สถานการณ์สอบสวนเป็นอย่างไร ก็ให้ไปฟังตำรวจแถลง แม้ตนรู้ทุกเรื่อง แต่รายละเอียดต้องให้เขาชี้แจง ไม่อย่างนั้นนายกฯ ก็ทำงานแทนอธิบดี 200 กรมฯ เพียงแค่นี้นายกฯ รู้เรื่องก็เก่งแล้ว
