จากกรณีคืนวันที่ 16 ก.ย. 63 เกิดเหตุพ่อปืนโหดเห็นโจทก์ยกพวกจะมาทำร้ายลูกชาย คว้าปืนลูกซองยิงสวน บาดเจ็บ 3 ราย รถกระบะพรุน มีรอยกระสุนเจาะกระจกฝั่งคนขับ 21 นัด
เป็นเหตุทำให้นายวิโรจน์ อายุ 30 ปี คนขับ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ และนายวิรัตน์ อายุ 33 ปี นั่งหลังคนนั่งข้างคนขับ ถูกกระสุนเข้าที่ศีรษะทะลุกระโหลก ทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน อาการสาหัสทั้งคู่ และ น.ส.กัลยา อายุ 21 ปี ที่นั่งอยู่ข้างคนขับในรถกระบะข้างคนขับ บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนนายเจษฎาที่ไปด้วยกัน นั่งเบาะหลังนายวิโรจน์ รอดหวุดหวิดไม่ถูกกระสุน
โดยเหตุเกิดริมถนนจอมพล ป. ต.คุ้งล้าน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ก่อเหตุคือนายฐิติพงศ์ อายุ 59 ปี ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ โดยมีนายพลวัฒน์ อายุ 28 ปี ลูกชายยืนรออยู่ด้วย ก่อนถูกคุมตัวไปสอบสวนที่โรงพัก
ล่าสุด วันที่ 17 ก.ย. 63 เวลา 13.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุที่อู่ซ่อมรถยนต์ ริมถนนจอมพล ป. ต.คุ้งล้าน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ตำรวจ สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา คุมตัวนายฐิติพงศ์ อายุ 59 ปี ผู้ต้องหามาชี้จุด ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
โดยเริ่มที่จุดแรก บริเวณภายในห้องซึ่งเป็นจุดที่เก็บอาวุธปืน และช่วงที่นำอาวุธปืนออกมายิงกลุ่มของผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นัด จากนั้นพยายามจะยิงซ้ำอีกครั้งแต่ นายพลวัฒน์ ลูกชายพยามแย่งปืนเพราะเห็นว่าช่วงนั้นมีรถยนต์วิ่งผ่านไปหลายคัน กลัวจะโดนลูกหลง จากนั้นยิงซ้ำตามไปอีก 1 นัด
ซึ่งก่อนถูกตำรวจคุมตัวไป นายฐิติพงศ์ ผู้ต้องหา พูดสั้น ๆ ว่า "ตนทำไปเพราะปกป้องลูก เขามาไล่แทงลูกชายผม ผมก็ต้องป้องกันลูก ป้องกันชีวิตผม เขามากันหลายคน และที่ยิงไม่มีใครสั่ง เขายิงผมก่อน และเขายิงลูกผม ผมก็ต้องปกป้องลูกผม"
จากนั้น นายฐิติพงศ์ ผู้ต้องหา จึงถูกคุมตัวกับไปยัง สภ.บางปะอินเพื่อสอบสวนดำเนินคดี ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิดในเมืองหมู่บ้านหรือชุมชน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายพลวัฒน์ ลูกชายของผู้ต้องหาชี้จุดขณะเกิดเหตุที่หน้าร้านและตามจุดต่าง ๆ นายพลวัฒน์ยืนยันว่า กลุ่มคู่กรณีจะใช้อาวุธมีดพกสั้นเข้ามาทำร้ายตนเองก่อน ตนเองบอกพ่อให้เอาอาวุธปืนออกมาเพราะกลุ่มคู่อริมากันหลายคน ท้าทายให้ออกไปนอกอู่ ส่วนสาเหตุนั้นเนื่องจากที่ตนเองคาดว่าผู้บาดเจ็บทำอาชีพเปิดอู่ซ่อมรถยนต์เหมือนกัน แต่คนละสายงาน ของตน และอยู่ห่างกัน 9 กม.
ตนเองได้เข้าไปคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กของรุ่นพี่เกี่ยวกับการซ่อมรถคล้ายกลุ่มคนเจ็บ โดยที่ตนเองก็ไม่ได้รู้จักกับผู้บาดเจ็บมาก่อน จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้บาดเจ็บไม่พอใจ
ซึ่งก่อนเกิดเหตุ 1 วัน นายวิรัตน์กับแฟนสาวได้ขับรถเก๋งมาที่ร้าน และมาเบิ้ลรถอยู่หน้าร้านก่อนขับออกไป ตนเองจึงขับรถตามออกไปถามว่ามีปัญหาอะไร ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จะใช้มีดแทงตนเอง แต่แฟนสาวพยามห้ามไว้ ตนเองจึงกลับมาที่ร้าน และนายวิรัตน์ก็ขับรถกลับไป จนมาเมื่อคืนกลุ่มดังกล่าวย้อนกลับมาหาเรื่องที่ร้านตนอีก 1 ครั้ง จนทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ตนยืนยันว่าฝ่ายคนเจ็บเดินลงจากรถ 3 คน ยืนท้าทายท้ายรถ 1 คน ส่วนอีก 2 คนข้ามมาหาตนที่ร้าน จากนั้น ตนจะถูกมีดพับแทง จึงวิ่งไปบอกพ่อว่า มันมาอีกแล้ว ตนถามกลับไปว่า "คนไทยจะมาเคลียร์ 5 ทุ่มเที่ยงคืน ใช่เวลาเคลียร์ไหม ประตูอู่ก็ปิด ไฟก็ปิด คุณมาถึงมายิงปืนใส่ มาเตะประตูรั้วหรือเปล่า หรือว่ายิงปืนใส่แล้วมันดังหรือเปล่า และเอาหน้ามาส่องตรงนี้มันใช่หรอ"
และที่พ่อต้องยิงสวนก็เพราะผู้บาดเจ็บได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาที่ร้านของตนก่อน ตนเองและพ่อต้องป้องกันตนเอง และเมื่อคืนกลุ่มคนเจ็บตะโกนท้าทายตนที่ท้ายรถด้วย
ด้านนายเจษฎา กบุ่มที่นั่งไปกับกระบะที่ถูกยิง เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุ พวกตนรวมตัวนั่งรถออกมาจากอู่นายวิรัตน์ ไม่ได้คุยเรื่องมาหาเรื่องนายพลวัฒน์ จะเรื่องพระกันตามปกติ ก่อนจะพากันออกมาขับรถเล่น โดยนายวิโรจน์ขับ น.ส.กัลยานั่งเบาะข้างคนขับ ตนนั่งหลังนายวิโรจน์ ข้างตนเป็นนายวิรัตน์ พี่ชายนายวิโรจน์ ก็ขับไปตามปกติ พอผ่านอู่ซ่อมรถก็จอดรถ ตนเป็นตัวกลางเด็กสุด อารมณ์เย็นสุดจึงเดินข้ามถนนไปคุยไปเคลียร์ใจกับนายพลวัฒน์
ตอนแรกนายวิรัตน์จะลงไปคุยเอง แต่ตนมองว่านายวิรัตน์กับนายวิโรจน์อารณ์ร้อน กลัวจะมีเรื่องกันตนจึงลงไปคนเดียวมือเปล่า ไปถึง ไฟติดแต่ไม่มีคน ตนส่องจากรูและเคาะเรียกก็ไม่มีใครตอบ จึงข้ามถนนกลับมาที่รถ ก่อนจะเห็นมีคนออกจากอู่มาตะโกนเรียก จากนั้น นายพลวัฒน์วิ่งกลับไปในบ้าน ก่อนจะออกมายิงปืนใส่ตน แต่ไม่ได้ยินตอนที่นายพลวัฒน์ไปเรียกพ่อให้เอาปืนออกมา เพราะตนอยู่อีกฝั่งถนน ได้ยินแค่เสียงโวยวาย
จากนั้น ตนปิดประตูรถทันที มีกระสุนปืนยังมาพอดี 2 นัด ติดเข้ามากระจกฝั่งนายวิโรจน์คนขับ ตนไม่เห็นใครยิง เพราะมืดมาก กระสุนเจาะศีรษะนายวิโรจน์ กระเด็นมาใส่หน้าผากนายวิรัตน์ที่นั่งข้างตน ตนหมอบอยู่ยังแปลกใจว่าทำไมไม่โดนตนด้วย ตอนนั้นใจเสียมาก ส่วนน.ส.กัลยา ที่นั่งข้างนายวิโรจน์ บาดเจ็บจากกระสุนถากนิ้วมือจังหวะที่จะช่วยนำนายวิโรจน์หมอบลง
ทั้งนี้ ตนไม่เคยพกมีดจะไปแทงนายพลวัฒน์ ตนก็คน ใครจะบ้า ถือมีดเดินเข้าไปคนเดียวในอู่เขา ผมไม่ได้ใจขนาดนั้น ผมก็มีครอบครัว แต่ที่ตนเดินเข้าไป คืออยากให้เคลียร์ใจกัน ตนคนกลางรู้จักทั้ง 2 ฝ่าย อยากบอกสังคมและพ่อคนก่อเหตุว่า อย่าฟังความฝั่งเดียวจากลูกชาย และมาตัดสินอะไร ฝ่ายนั้นยิงปืนใส่พวกตนมาก่อน ตนเสียใจเหตุการณ์มาเกิดแบบนี้ และและอยากเตือนใจวัยรุ่นใจร้อนทุกคน อย่าคิดไว ขนาดผมคิดช้า ยังกลายเป็นฝ่ายผิดเลย ส่วนทางคดีให้ตำรวจดำเนินการอย่างถึงที่สุด