ลูกค้าชาบูร้อง สคบ.จ่ายบุฟเฟต์ แต่ถูกคิดเงินเพิ่ม ลุงต้นตำรับเรียกทุกสาขาอบรม (คลิป)

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Nutmeathe Thanakitwuthikul" โพสต์ข้อความรีวิวลงบนเพจเฟซบุ๊กของ "ชาบู ชาบู นางใน สาขา พระรามเก้า 43" ข้อความว่า "เสียความรู้สึก เพิ่งเคยเจอเจ้าของร้านขู่จะคิดเงินเพิ่ม เพราะอ้างว่ากินเยอะเกินไปจนร้านไม่ได้กำไร ถ้ามีความคิดแบบนี้อย่าเปิดร้านดีกว่า" 

ทางแอดมิดเพจดังกล่าว ได้เข้ามาคอมเมนต์ ระบุว่า "ทานบุฟเฟต์ แปลว่า ทานหลากหลายไม่ใช่ทานแต่เนื้อ กุ้ง ไม่ทานอย่างอื่นเลย แบบนี้เรียกว่าทานเนื้อและกุ้งลวก ไม่ใช่ชาบู คุณลองทำธุรกิจแล้วหากเจอพฤติกรรมแบบนี้มาตลอด ไม่ใช่เป็นครั้งคราว ถ้าเป็นครั้งคราวเรารับได้ แต่ทานแบบไม่จำกัดเวลา เนื้อขั้นต่ำ 6-12 จาน จานขนาด 12 นิ้ว เราทำธุรกิจ ถ้าคุณคิดว่าไม่ยุติธรรมกับคุณและมันยุติธรรมกับเราเหรอคะ ถ้ายังโพสต์ให้ร้านเสียหาย เราขอใช้กฎหมายตัดสินแล้วกันนะคะ"

นอกจากนี้ยังถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มเติม เพราะกินเยอะเกินไป เลือกกินแต่กุ้ง และเนื้อ ทำให้ร้านขอเก็บเงินเพิ่มเป็นราคา 549 หรือเพิ่มอีก 200 บาทจาก 349 บาท และไม่จำกัดเวลาเช่นเดิม หลังจากนั้นเมื่อข้อความถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแรง

ล่าสุดวันที่ 10 ก.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางไปยังร้านชาบู ชาบู นางใน สาขาถนนพระรามเก้า 43 กลับพบว่าร้านปิดเงียบสนิท มีแผงเหล็กกั้นเอาไว้และได้ล็อกด้วยกุญแจ เมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามไม่มีใครรับสาย โดยชาบูร้านดังกล่าวเป็นบุฟเฟต์ ราคาท่านละ 349 บาท ไม่จำกัดเวลา

นายณัฏฐ์เมธี ธนกิตต์วุฒิกุล อายุ 40 ปี ผู้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าว่า ร้านชาบูดังกล่าวเป็นร้านที่ตนไปทานเป็นประจำอยู่แล้ว ไปใช้บริการมา 3 ปี ไปทานเดือนละ 2-3 ครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.ย.63 ที่ผ่านมา ตนไปทานบุฟเฟต์ร้านชาบูนางใน สาขาพระรามเก้า 43 พนักงานยังเข้ามาทักทายตนพร้อมกับจำเมนูที่ตนชอบทาน โดยมีเนื้อ 4 จาน กุ้ง 2 จาน วุ้นเส้น และไข่ไก่ รวมแล้วตนสั่งไปเนื้อ 6 ถาด กุ้ง 2 ถาด วุ้นเส้น เห็ดเข็มทอง และไข่ไก่ จากนั้นตนก็นั่งกินไปตามปกติ และกำลังจะสั่งเห็ดเข็มทอง แต่เห็นว่าเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาใกล้โต๊ะ ตนเลยสั่งไป

เจ้าของร้านบอกว่า "ลูกค้าจะสั่งแต่เนื้อ แต่กุ้ง ไม่สั่งผักไม่ได้นะคะ" ขณะนั้นตนรู้สึกมันงง ในร้านมีลูกค้า 1-2 โต๊ะ ทุกโต๊ะหันมามอง ทางเจ้าของร้านยังพูดต่อมาอีกว่า "ถ้าหากเกิดลูกค้าสั่งแบบนี้ทางร้านจะไม่มีกำไร" ตนจึงได้ถาม หมายความว่าอย่างไร ทำให้การสนทนาเปลี่ยนอารมณ์ทันที น้ำเสียงของเจ้าของร้านเปลี่ยนไป และบอกว่า "หากลูกค้ากินแต่เนื้อแต่กุ้ง ไม่กินอะไรที่หลากหลาย เช่นกับคนอื่น ๆ ร้านจะขาดทุนไม่มีค่าของ ไหนจะเรื่องของค่าพนักงาน" หลังจากนั้นได้เดินหนีไป สวนเห็ดเข็มทองที่สั่งไปก็ไม่ได้ หลังจากนั้นแฟนสาวทานเสร็จก็กลับบ้าน

หลังออกจากร้าน ตนเคยถูกใจเพจร้านดังกล่าว แต่พอเจอสถานการณ์เช่นนี้แล้ว จึงตัดสินใจเลิกถูกใจ เพราะคิดว่าจะไม่มาร้านดังกล่าวอีกแล้ว แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ กดเลิกถูกใจเพจ ทางร้านได้กลับส่งข้อความมาให้ช่วยกดถูกใจเพจอีกครั้ง พอกดเสร็จตนไม่แนะนำร้านดังกล่าว หลังจากนั้นเจ้าของร้านได้มาต่อคอมเมนต์ของตนดังกล่าว

การที่เจ้าของร้านมาตอบคอมเมนต์ของตนนั้น เจ้าของร้านดังกล่าวไม่เข้าใจธุรกิจบริการ ควรจะศึกษาให้ดีมากกว่านี้ ในเรื่องของการสื่อสาร ส่วนตัวแล้วมองว่าการที่ตนสั่งเนื้อนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ประกอบการ ตนมาทานบุฟเฟต์ ไม่ได้สั่งเมนูนอกเหนือจากที่อยู่ในเมนูของร้าน ยอมรับว่าเสียความรู้สึกที่เจ้าของร้านมากล่าวหาตน ซึ่งตนก็ได้แนะนำเพื่อนหรือคนรู้จักไปรับประทานร้านดังกล่าวอยู่เป็นประจำ ปกติแล้วตนเจอกับเจ้าของร้านแบบผ่านไปผ่านมา ไม่ได้พูดคุยกัน แต่ทำพนักงานของร้านมีลักษณะนิสัยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตร และร้านสะอาด

หลังจากเกิดเรื่องทางเจ้าของร้านก็ไม่ได้ติดต่อมาขอโทษ และก็ไม่ได้อยากรับฟังคำขอโทษด้วยสิ่งที่ตนได้โพสต์ไปนั้น เนื่องจากไม่อยากให้เกิดบรรทัดฐานการเอาเปรียบ ในมุมของผู้บริโภคเป็นสิทธิ์ของเราเองที่จะสามารถสั่งอะไรก็ได้ และไม่อยากให้มีการขู่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็ได้ไปแจ้ง สคบ.เรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ สคบ.ได้ติดต่อมาเรียบร้อย และได้ขอหลักฐาน

อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้ตนก็คงจะไม่มารับประทานชาบูร้านดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ตนก็อยากให้ลูกค้าทุกท่าน อย่าไปตัดสินชาบูนางในสาขาอื่น เพราะการบริหารไม่เหมือนกัน ให้ตัดสินที่ตัวบุคคลไม่ใช่แฟรนไชส์ และขอฝากถึงเจ้าของธุรกิจผู้ประกอบการว่า ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องกับธุรกิจ ต้องมองว่าเป็นธรรมชาติของธุรกิจ

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวียังได้พูดคุยกับนายวันเลิด พวงพยอม อายุ 72 ปี เจ้าของต้นตำหรับชาบูนางใน สาขาพระรามเก้า 41 เปิดเผยว่า หลังจากทราบข่าวตนประหลาดใจ ไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น เนื่องจากธรรมชาติของคนที่ทานบุฟเฟต์ ต้องทานให้คุ้ม ซึ่งตนก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งตนจะสอนให้คนที่มาขอแฟรนไชส์ว่า "อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า หากลูกค้าทานแล้วก็ต้องทานให้อิ่ม ทานให้พอใจ ไม่ใช่ไปกล่าวว่ากินแต่เนื้อ หรือกินแต่กุ้ง ซึ่งต้องตามใจลูกค้า" ตนเข้าใจว่าลูกค้า 100 คนบางท่านก็ทานเพียงเล็กน้อย บางท่านก็ทานมาก ถือว่าเฉลี่ยกันไป บางทีมีลูกค้าทานเหลือตนก็ไม่เคยปรับ มีแต่จะให้ห่อใส่ถุงกลับบ้าน

ส่วนร้านชาบูที่เกิดกระแสดราม่าดังกล่าว เปิดบริการมาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยเจ้าของร้านดังกล่าวมาขอเปิดแฟรนไชส์ เนื่องจากมีบ้านอยู่ตรงบริเวณซอย 43 และประกอบอาชีพข้าราชการเงินเดือนน้อย จึงอยากหาอาชีพเสริม 

หลังจากเกิดเรื่องสาขาต้นตำรับของตนไม่ได้รับผลกระทบ ลูกค้าไม่ได้ลดน้อยไปจากเดิม แต่กลับทำให้ลูกค้าที่เคยทานกลับมาทานอีกครั้ง ปกติแล้ววันธรรมดาจะไม่มีลูกค้ามารับประทาน แต่วันนี้กลับมีลูกค้ามามากกว่าเดิม ในส่วนของราคาบุฟเฟต์แต่ละร้านนั้น ก็จะแตกต่างกันไป แล้วแต่สภาพแวดล้อมของแต่ละสาขา การบริหารงานนั้นก็ให้สิทธิ์แก่เจ้าของร้านแต่ละสาขา เมื่อคืนวานนี้ทางเจ้าของร้านชาบู ชาบู นางในสาขาพระรามเก้า 43 ได้โทรมาขอโทษ เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ไม่ได้ซ้ำเติมหรือดุด่าอะไร นอกจากนี้ยังอยากให้โอกาส เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถึงแม้ว่าจะทำให้หลายสาขาเดือดร้อน ไม่มีการให้สั่งปิดร้านดังกล่าว ให้เปิดเช่นเดิม และยังได้มีการขอโทษนายณัฏฐ์เมธีแล้ว

นอกจากนี้ยอมรับว่าหลายสาขามีกฎที่หย่อนยาน เหมือนไฟเริ่มหมด ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการเรียกเจ้าของสาขาชาบู ชาบู นางใน ทั้ง 60 สาขา เข้ามาประชุมหารือ และจะย้ำวิธีผูกมัดใจลูกค้าให้กลับมาใช้บริการเช่นเดิม