ลุงตู่ลั่นกลางสภา ไม่มีปัญหานักศึกษา “พิธา” จวกเลิกวาทกรรมมีคนหนุนม็อบ (คลิป)

10 ก.ย. 63

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.63 ที่อาคารรัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องวิกฤตทางเศรษฐกิจและวิกฤตทางการเมือง โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ชี้แจงกรณีที่กลุ่มนักศึกษานัดชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.63

258766

โดยระบุว่า ยุทธการสะพานมัฆวานรังสรรค์ เกรงว่าจะเป็นการปลุกระดม คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องจะมองว่า เป็นตัวร้ายที่จ้องจะกำจัดใครก็แล้วแต่ เหมือนเป็นการปลุกระดม ที่จะเร่งให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย อดีตคืออดีตวันนี้คือวันนี้ อะไรผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก วิเคราะห์กันไปเรื่อย มองไปเรื่อย เคลื่อนรถเกราะรถถังจะรบกับใครจะยิงกับใคร

เมื่อปี 2557 ไม่ได้ยิงปืนสักนัด ไม่ได้เอารถถังมาปิดใครด้วย ตนไม่ได้กลัวใครทั้งสิ้น แต่กลัวคนที่แอบอยู่ข้างหลัง ที่จะทำให้เหตุการณ์บานปลายเร่งปลุกระดม ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ยุ่งเกี่ยวที่จะห้ามนักศึกษา เพราะเป็นหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการ ตนย้ำเสมอว่าให้อะลุ่มอล่วย ดูแลความปลอดภัยให้มากที่สุด เพราะกลัวมือที่สาม เมื่อปี 2553 ก็เกิดขึ้นมาแล้ว เพราะทุกคนคือลูกหลาน ฟังนักศึกษาฟังคนอีกพวกหนึ่ง อย่ามาบอกว่าไม่ฟังใคร ที่ผ่านมาอะลุ่มอล่วยมาตลอด ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลกันต่อไป อย่ารังเกียจทหารมากนัก เพราะทหารคือลูกหลานท่านทั้งหลาย  

465770

ทุกวันนี้ให้สังเกตว่าเขาให้ประกันตัวก็ไม่รับ แต่ขอติดคุก ถามว่าเกิดอะไรขึ้นมีใครไปยุแหย่เขาหรือไม่ ตนรักลูกหลานอยู่แล้ว เพราะตนก็เป็นคนมีลูก อบรมลูกในทางที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ก้าวล่วงงานพ่อ ไม่รับผลประโยชน์ ไม่เปิดเผยตัว "นั่นคือลูกของผมครอบครัวของผม"

titled_1

ส่วนครอบครัวไหนไปร่วมชุมนุม ก็ดูแลลูกของท่านให้ปลอดภัยอยู่ดี ทหารไทยไม่ได้มีแค่ปฏิวัติ ทุกวันนี้ทหารทำงานหลายอย่างเพื่อประชาชน ขอยืนยันตรงนี้เลย ใครจะทำต้องหาตัวให้เจอฝากให้ลูกหลานสบายใจ ให้อยู่ในกรอบสันติวิธี ฟังหมดแต่ไม่อยากฟังต่อหน้า เพราะมีปัญหาที่มีคนอยู่เบื้องหลังพอสมควร อย่าให้พูดมากกว่านี้เลย ตนเป็นห่วงผู้ชุมนุมทุกคน เพราะผู้ชุมนุมคือลูกหลานของตนเหมือนกัน อย่างไรก็ตามปัญหาที่ผ่านมาตนได้รับฟังอยู่เสมอ

845987

ในห้องประชุมอภิปราย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การประชุมแห่งนี้ เป็นการประชุมช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประเทศไทย ถึงแม้จะผ่านวิกฤตมาด้วยกันหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนหนักหนามืดมนเท่าครั้งนี้ ท่ามกลางรอบด้านเศรษฐกิจสังคม สิ่งที่สำคัญที่เป็นตัวถ่วงประเทศ คือ "วิกฤตภาวะผู้นำ" ที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คนรุ่นใหม่ออกมาทวงถามถึงอนาคต การชุมนุมในครั้งนี้ไม่ใช่ความคิดที่ต่างกับระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ แต่เป็นการคิดต่างระหว่างคนมีหวังและคนสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่เห็นได้ชัดเจน คือ เรื่องเศรษฐกิจ เมื่อนำตัวเลขมาคำนวณแล้ว ตนประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจบ๊วยที่สุดในอาเซียน และของในเอเซีย

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส