เมื่อวันที่ 9 ก.ย.63 เวลา 09.00 น. ร.ต.อ.ศิรษิก บุญเกิด รอง.สว.(สอบสวน) สภ.วังน้ำคู้ อ.เมือง จ.พิษณุโลก รับแจ้งมีบุคคล 2 ราย หมดสติภายในบ่อน้ำบาดาล กลางทุ่งนาพื้นที่ ต.วัดพริก อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงประสานหน่วยกู้ภัยมูลนิธิประสาทบุญสถาน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นกลางทุ่งนา ห่างจากถนนเรียบคลองชลประทาน ประมาณ 700 เมตร พบชาวบ้านมุงดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก
จากการตรวจสอบภายในวงบ่อลึกขนาด 7 วงบ่อ พบร่างชาย 2 รายหมดสตินอนกองกันอยู่ก้นบ่อ ทราบชื่อคือ นายบุญส่ง มากโภคา อายุ 59 ปี และนายภานุพันธ์ มากโภคา อายุ 28 ปี ทั้งคู่เป็นพ่อลูกกัน พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 31 ม.10 ต.วังอิทก อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถโรยตัวลงไปบริเวณก้นบ่อได้ เนื่องจากมีแก๊สไข่เน่าฉุน จึงต้องใช้วิธีทำห่วงเชือกลงไปคล้องที่ร่างของนายภานุพันธ์ ซึ่งเป็นลูก และอยู่ด้านบน ก่อนจะช่วยกันดึงร่างขึ้นมาได้สำเร็จ แต่จากการตรวจสอบชีพจรพบว่านายภานุพันธ์ไม่มีชีพจรแล้ว กลุ่มญาติเป็นจำนวนมากต่างลุ้นขอให้ยังมีชีวิตอยู่ ตะโกนเรียกชื่อเล่นผู้ตายให้กลับมา แต่การทำ CPR ก็ไม่เป็นผลไม่มีสัญญาณชีพตอบสนอง
จากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัย จึงใช้เชือกลงไปคล้องร่างของนายนายบุญส่ง ผู้เป็นพ่อ ที่อยู่บริเวณก้นบ่อแต่นำขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เพราะร่างของนายบุญส่ง ไปติดอยู่กับเครื่องด้านล่าง จนนำศพขึ้นมาได้สำเร็จ ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัวที่ต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อม ๆ กันถึง 2 คน
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายประสงค์ นวลสิงหะ ญาติของผู้เสียชีวิตและพยายามลงไปช่วยนำร่างนายบุญส่งขึ้นมา หลังจากที่นายภานุพันธ์ ลูกชายนายบุญส่งปีนบันไดลงไป แล้วก็หมดสติไม่ขึ้นมา ทราบว่า ในบ่อบาดาลนี้มีแก๊สไข่เน่า ไม่สามารถลงไปได้ด้วยตัวเปล่า นายประสงค์บอกว่า ตนได้พยายามลงไปเช่นเดียวกัน ตนลงไปเกือบถึงก้นบ่อแล้ว แต่มีกลิ่น รู้สึกแน่นอก จึงได้ให้คนด้านบนช่วยดึงเชือกขึ้นมา
นางปราณี มากโภคา ภรรยาของนายบุญส่ง เปิดเผยว่า ตามปกติตนจะไม่ได้ออกไปช่วยทำนามากนัก เพราะมีอาการป่วยสุขภาพไม่ค่อยดี แต่วันนี้ได้ออกไปพร้อมกับนายบุญส่ง โดยนายบุญส่งบอกให้ตนคอยส่งอุปกรณ์ให้ แต่ระหว่างที่ปีนบันไดลงไปจนเกือบถึงก้นบ่อแล้ว ตนก็ได้ยินเสียงนายบุญส่ง หายใจเสียงดัง จากนั้นไม่นานก็ร่วงลงไปในก้นบ่อแล้ว จึงโทรศัพท์หาลูกชาย
ในตอนแรกน้องชายได้พยายามลงไปช่วยแล้ว 2 ครั้ง แต่ลงไปไม่ได้เพราะมีแก๊ส โดยตนได้บอกกับลูกแล้วหากไม่ไหวให้รีบขึ้นมา แต่ด้วยความเป็นห่วงพ่อได้พยายามลงไปจนถึงตัวพ่อแล้ว ก็เริ่มมีอาการไม่ไหว หมุนตัวไปมา ตนได้ส่งเสียงให้คว้าบันได ลูกได้คว้าบันไดแล้วแต่หมดสติหล่นลงไปเสียชีวิตอยู่กับพ่อ และลูกชายอีกคนได้ลงไปช่วยอีกแต่คราวนี้ได้เอาเชือกมัดเอวไว้และเมื่อได้ลงไปเพียงแค่ครึ่งบ่อ มือก็หลุดออกจากบันได คนที่อยู่ข้างบนก็ได้รีบดึงขึ้นมา พบว่าสภาพหน้าตาเขียวจากแก๊สพิษ และหากไม่มัดเชือกเอาไว้ก็คงจะเสียชีวิตทั้ง 3 คน
นางปราณี ยืนยันว่า บ่อดังกล่าวตลอดระยะเวลา 10-20 กว่าปีที่ผ่านมา ถูกใช้งานตลอดไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน แต่เมื่อปีที่ผ่านมาได้เจาะบ่อใหม่ในบ่อเดิม ซึ่งในวันนี้ต้นข้าวเริ่มเจริญเติบโต ตั้งใจว่าจะสูบน้ำมาหล่อเลี้ยงต้นข้าว โดยก่อนที่จะลงไปในบ่อ ก็ได้ใช้ไฟฉายส่องดูแล้ว ไม่พบว่า มีงู หรือ หนู หรือสัตว์อะไรตกลงไปในบ่อ เพราะตามปกติ มักจะมีอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ไม่พบว่ามีสัตว์อะไรเลย
โดยก่อนเกิดเหตุในครั้งนี้ไม่มีลางสังหรณ์อะไรเลย มีเพียงแค่ลูกชายบอกว่าวันเสาร์นี้จะพาไปกินหมูกระทะเท่านั้น ส่วนบ่อบาดาลดังกล่าว ตอนนี่ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรกับบ่อ ขอจัดงานศพให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะตอนนี้ได้เสียเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว 2 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดกรับพวง ม.1 ต.วังอิทก อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ญาติและครอบครัวได้ใช้เป็นสถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพนายบุญส่ง และนายภาณุพันธ์ พ่อลูกที่เสียชีวิตภายในบ่อบาดาล บรรยากาศภายในวัดวันนี้เป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ด้านนายวิศรุตติ์ มากโภคา อายุ 35 ปี บุตรชายคนโตของผู้เสียชีวิต เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ปกติแล้วตนอยู่คนละบ้านกับพ่อและแม่ ส่วนน้องชายอยู่บ้านเดียวกับพ่อและแม่ เมื่อช่วงเช้าพ่อกับแม่ได้ออกมาที่ทุ่งนาตามปกติ ส่วนน้องชายนอนอยู่บ้านแล้วพ่อลงไปซ่อมเครื่องสูบน้ำภายในบ่อแล้วหมดสติไป แม่จึงโทรไปหาน้องที่บ้าน น้องก็รีบมาแล้วลงไปช่วยพ่อ ปรากฏว่าตัวน้องเองก็หมดสติไปด้วย
ส่วนเรื่องตั้งศพนั้น ตนต้องรอแม่มีสติอีกหน่อย เพราะตอนนี้แม่เสียใจมากเลย ยังไม่รู้ว่าจะตั้งสวดกี่วัน หรือเผาวันไหน ตอนนี้ก็ภาวนาขอให้แม่อาการดีขึ้น เพราะตนรับไม่ได้หากแม่ต้องเป็นอะไรไปอีกคน
