จากกรณีที่ นักศึกษาชั้นปี 1 เสียชีวิตเพราะช็อกหมดสติ โดยพบว่า คือ น.ส.พรพิพัฒน์ เอียดดำ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
โดยมีเพื่อนให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้าถูกรุ่นพี่ลงโทษให้วิ่งรอบขุมเหมืองจำนวน8รอบ รอบละ1กม. เนื่องจากน้องมิ้นมาซ้อมลีดช้า จนเป็นลมและช็อกหมดสติก่อนเสียชีวิตในเวลาถัดมา ซึ่งภายหลังเกิดเหตุมีควมมสับสนว่าจริงๆแล้วน้องมิ้นผู้ตายวิ่งที่ไหนกันแน่ระหว่างขุมเหมือง และลานจอดรถ นอกจากนี้น้องมิ้นเดินทางมาซ้อมเชียร์สายจนถูกทำโทษจริงหรือไม่
ล่าสุดวันที่ 23 ส.ค.63 ทางด้านนายสุทา ประทีป ณ ถลาง ส.ส.เขต 1 จ.ภูเก็ต ได้เดินทางเข้าพูดคุยกับทางด้านนายคะนอง เอียดดำ และญาติ ๆ เพื่อให้กำลังใจ ซึ่งทางนายคะนองได้พยายามเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นายสุทาฟังด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ส่วนทางด้านนางดวงใจ สองแก้ว ผู้เป็นแม่ได้แต่นอนร้องให้ ไม่มีแรง เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
โดยนายสุทา กล่าวว่า ในวันนี้ได้มาพูดคุยกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิต ก็ได้รับทราบว่าน้องมิ้นเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ เป็นความหวังของครอบครัว เมื่อสูญเสียงน้องมิ้นไปก็เหมือนหัวใจแตกสลาย ซึ่งทางคุณแม่ของน้องมิ้นยังอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนก็ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทางครอบครัวยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคนซึ่งทางตนจะเป็นคนช่วยดูแลส่งเสียให้เรียนสูงที่สุด ส่วนเงิน กยศ.ที่น้องมิ้นกู้เรียนตนก็จะช่วยระดมทุนช่วยเพื่อใช่หนี้ให้น้องอีกด้วย
ทางด้านนายคะนอง เอียดดำ พ่อของน้องมิ้นเล่าวว่า วันนี้ท่านส.ส.มาเยี่ยม เมื่อวันก่อนอธิการบดีก็ได้เดินทางมาให้กำลังในต้องขอขอบคุณมากจริงๆ น้องมิ้นเปรียบเสมือนความหวังของครอบครัว เขาอยากเป็นคุณครูภาษาไทย จึงเลือกเรียนสายนี้ แต่มิ้นเป็นคนชอบทำกิจกรรม เวลาเขาทำกิจกรรมพ่อจะเป็นคนไปรับไปส่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนพ่อก็จะต้องไปให้ได้ ตนมักจะเตือนอยู่เสมอว่าทำกิจกรรมก็ให้ทำดีๆระมัดระวัง ดูข่าวเรื่องเด็กในมหาลัยมาก็เยอะไม่คิดว่าจะมาเจอกับตนเอง
ส่วนรุ่นพี่ที่ชื่อแพร ซึ่งเป็นคนสั่งให้มิ้นวิ่งจนเป็นลมนั้นยังไม่ได้มีโอกาสเจอหน้ากันเลย ซึ่งในวันเกิดเหตที่โรงพยาบาลเขาอาจจะอยู่แต่ตนไม่รู้จักและยังไม่เคยได้รับคำขอโทษจากเขาเลย ซึ่งตนไม่ได้โกรธ และไม่ได้ตั้งใจจะเอาเรื่องเขาจนติดคุก ตนเข้าใจว่าบ้างทีเขาอาจจะไม่ตั้งใจ ซึ่งถ้าตนเป็นพ่อของแพรตนก็คงเสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ และอีกอยากตนไม่อยากให้วิญญาณของน้องมิ้นไปอย่างสงบ ไม่อยากให้น้องมิ้นมาเขาฝันตนแล้วพูดว่าให้ยกโทษให้พี่ด้วย ตนไม่ต้องการให้เขามีห่วงอะไรทั้งนั้น ซึ่งถ้าน้องแพรจะเข้ามาตนก็ยินดี เพราะตนอยากพูดคุยและอยากทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร เพราะครอบครัวของเรารอคอยคำตอบมานานแล้ว
ส่วนแม่ของน้องมิ้นตอนนี้ได้แต่เพ้อหาน้องมิ้นตลอดเวลา ไม่กินข้าว ได้แต่นอนอย่างเดียว เวลาตนเข้าไปปลอบก็ได้แต่พูดว่า ทำไมตนช่วยลูกไม่ได้ ความรู้สึกมันอัดแน่นจนพูดไม่ออก เรามีความหวังว่าจะได้เห็นลูกเรียนจนใส่ชุดครุย รับปริญญาบัตร เหมือนคนอื่นเขา แต่นี้กับได้รับใบมรณบัตรมาแทนมันทำใจไม่ได้จริง
โดยเมื่อวันที่ 22 ส.ค.63 ที่ผ่านมา น้องจีน (นามสมมติ) และน้องเดียว (นามสมมติ) ผู้ที่อยู่ในการซ้อมลีด ในจำนวน 11 คน เล่าว่า สำหรับกำหนดการซ้อมลีดเริ่มซ้อมกันตั้งแต่เวลา 17.30 - 20.30 น. วันเกิดเหตุน้องมิ้นไม่ได้มาซ้อมสาย น้องมิ้นมาซ้อมตรงตามเวลา ซึ่งการซ้อมลีดเริ่มเวลา 17.30 น. อย่างแรกที่เราเริ่มคือวอร์มร่างกาย และทบทวนท่าที่เคยเรียนมา จากนั้นพี่แพรก็เริ่มสอนท่าใหม่เพิ่มเติม ซึ่งการซ้อมในช่วงนี้จะมีการหยุดพักเป็นช่วง ๆ ประมาณ 3-5 นาที
จากนั้นพี่ ๆ ก็ให้ลีดไปซ้อมพร้อมกับสแตนเชียร์ โดยการเต้นท่าใหม่ร่วมด้วย และบอกว่าวันนี้ถ้าเต้นผิด 1 จุดจะให้วิ่ง 1 รอบ ภายหลังจากซ้อม พี่แพรบอกว่าวันนี้ผิดหลายจุด จึงทำโทษให้วิ่ง 8 รอบลานจอดรถ ไม่ใช่ขุมเหมืองอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งพวกตนก็แอบไปกินน้ำก่อน ส่วนกลุ่มของมิ้นได้ลงไปวิ่งก่อน จากนั้นตนก็ลงไปวิ่งพร้อมกับเพื่อน ๆ ตอนที่วิ่งตนวิ่งอยู่หน้ามิ้น
ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนสนิทของน้องมิ้น จำนวน 3 คน ที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษา จนถึงมหาวิทยาลัย และเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังอยู่ในวันเกิดเหตุด้วย โดยทั้งนี้เด็กทั้ง 3 คนค่อนข้างที่จะกลัวและยังไม่กล้าที่จะเจอใคร จึงขอพูดคุยผ่านการวิดีโอคอล
โดยน้อง ๆ ทั้ง 3 คนให้ข้อมูลว่า ในวันเกิดเหตุน้องมิ้นเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยประมาณ 08.00 น. เพื่อมาช่วยเพื่อนทำพานไหว้ครู หลังจากนั้นเวลา 09.00 น. ทำพานเสร็จก็ไปนั่งเล่นกับเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัย จนกระทั่ง 16.00 น. ก็ไปหาข้าวกินกัน เวลา 17.30 น. ก็เดินทางมาซ้อมลีดตามปกติ ไม่ได้มาสายอย่างที่เป็นข่าว
ในวันนั้นเริ่มซ้อมด้วยกันทั้งหมด 11 คน เริ่มจากการทวนท่าเต้น จากนั้นพี่แพรก็เข้ามาช่วยต่อท่าใหม่ในช่วงที่ 2 ซึ่งเด็ก ๆ ก็อาจจะจำท่าสับสน เพราะเป็นท่าที่ยาก จากนั้นพี่แพรก็ให้ลงซ้อมกับแสตนเชียร์ ซึ่งก่อนที่จะลงแสตนเชียร์ พี่แพรพูดว่าถ้าเกิดเต้นผิดทำโทษให้วิ่งจุดละ 1 รอบ แต่ตอนนั้นตนไม่แน่ใจว่าพี่แพรพูดจริง ๆ หรือเล่น ๆ ซึ่งตอนที่เต้นก็ผิดหลายจุด เพราะมันเป็นเพลงที่เพิ่งจะเพิ่มท่าเข้ามาใหม่
หลังจากเต้นเสร็จพี่แพร ก็บอกว่าเต้นผิดหลายรอบ แต่จะลงโทษให้วิ่ง 8 เพียงรอบเท่านั้น เมื่อพี่แพรพูดจบ ทุกคนก็ลงไปวิ่ง แต่บางคนก็แอบไปดื่มน้ำก่อน ลักษณะการวิ่งเป็นการวิ่งแบบเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อวิ่งได้รอบที่ 6 มิ้นก็ฟุบลงไปเลย เพื่อนก็มาช่วยปฐมพยาบาล เพราะคิดว่ามิ้นเป็นลม พอดีมีรุ่นพี่ผ่านมาจึงอุ้มมิ้นไปส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นทุกคนไม่มีสติแล้ว คิดแต่เพียงว่าพาเพื่อนไปโรงพยาบาลก่อน
ทั้งนี้ยืนยันว่าการวิ่งในวันนั้น เป็นการวิ่งแบบเบา ๆ และพี่ ๆ ก็ไม่ได้บังคับให้วิ่งแบบเอาเป็นเอาตาย ซึ่งตั้งแต่ซ้อมมาก็มีการลงโทษมากที่สุดก็แค่ 5 รอบ แต่ครั้งนี้น่าจะมากสุดคือ 8 รอบ และการวิ่งครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นการรับน้อง และไม่ได้เป็นการลงโทษเพราะมิ้นมาสาย แต่เป็นการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ และมีการเต้นท่าผิดจึงลงโทษ ให้วิ่งที่ลานจอดรถ 8 รอบ ไม่ใช่ขุมเหมือง
และวันที่พามิ้นไปส่งโรงพยาบาล คุณครูก็ให้ความร่วมมือไปที่โรงพยาบาล ไม่มีใครมายืนยิ้มอย่างที่สื่อโซเชียลฯ อ้างลอย ๆ ส่วนรุ่นพี่ที่มาซ้อมลีดจะมีคนหลักอยู่ 1 คน คือพี่แพร นอกจากนั้นก็จะมีพี่อีก 3 คนที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทำหน้าที่อื่น ๆ ถ้าถามว่าโกรธรุ่นพี่หรือไม่ที่สั่งให้เพื่อนวิ่งจนเสียชีวิต จริง ๆ ใจก็โกรธ แต่ก็เข้าใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ถ้ารุ่นพี่ถูกดำเนินคดีจริง ก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะเพื่อนตนต้องได้รับความเป็นธรรม
สำหรับท่าทีของรุ่นพี่ ในวันที่ 19 ส.ค.63 นายแสตมป์ เป็นผู้โทรศัพท์ประสานทางโรงพยาบาล ไม่ได้เข้ามาดูน้องมิ้นขณะเกิดเหตุ
สำหรับท่าทีของรุ่นพี่ ในวันที่ 19 ส.ค.63 น.ส.แพร มีอาการตกใจ ร้องไห้ตลอดเวลา เข้ามาบีบและพยายามเรียกชื่อน้องมิ้นขณะเกิดเหตุหลายครั้ง ก่อนขี่รถจักรยานยนต์ตามน้องไปที่โรงพยาบาล
สำหรับท่าทีของรุ่นพี่หลังเกิดเหตุ ครอบครับน้องมิ้นได้พูดคุยกับนายแสตมป์ ในวันเกิดเหตุแล้ว แต่ปัจจุบันกลับไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าจะเกิดความวิตกกังวล และหวั่นเกรงว่าอาจจะถูกดำเนินคดี
นอกจากนี้บนโลกออนไลน์ยังมีชาวเน็ต พากันแชร์คลิปวิดีโอหนึ่ง ซึ่งเป็นคลิปก่อนหน้าที่น้องมิ้นจะเสียชีวิต ซึ่งเป็นคลิปสั้น ๆ ที่เพื่อนได้ถ่ายเล่นกันที่มหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นคลิปสุดท้ายที่สามารถบันทึกไว้เป็นความทรงจำของเพื่อน ๆ
ส่วนตารางการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์นั้น น้องมิ้นจะซ้อมทุกวันไม่มีวันหยุด ยกเว้นวันที่น้องมีเรียนออนไลน์ช่วง 07.00 น. จะงดซ้อม เวลาในการซ้อมจะซ้อมตั้งแต่ 17.30-20.30 น. ของทุกวัน เริ่มซ้อมตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.63 แข่งขันจริงวันที่ 5 ก.ย.63
ภายหลังเกิดเหตุที่น้องมิ้นล้มลงไป น้องจีนเป็นคนประคองน้องมิ้นที่นอนคว่ำให้หง่ายขึ้น พร้อมบีบปาก เพราะน้องมิ้นจะกันลิ้นตัวเองจากนั้นน้องจีนเรียกน้องเดียวให้มาช่วย น้องเดียวจึงเข้ามาบีบนวดและร้องเรียกชื่อ เพื่อนทั้ง 9 คน ที่เหลือเห็นเหตุการณ์รีบวิ่งมาช่วยเรียกชื่อ บีบนวด และนำยาดมมาให้
ส่วนพี่แพรวิ่งมาดูน้อง และช่วยบีบนวดพร้อมเรียกชื่อ นอกจากนี้พี่แสตมป์ เมื่อรู้ว่าน้องเป็นลม ก็วิ่งมาดู และวิ่งกลับไปหยิบโทรศัพท์แจ้งรถพยาบาล
