จากกรณีพนักงานสอบสวน สภ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้รับแจ้งจากวัดประทุมบูชา ต.บ้านทาม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ว่ามีคนร้ายไม่ทราบจำนวน โจรกรรมงัดกุฏิลักเงินสดหลักแสนบาท และอัญมณีที่ญาติโยมนำมาถวาย มูลค่านับ 10 ล้านบาทหายไป จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมชุดสืบสวน และหน่วยพิสูจน์หลักฐาน
ล่าสุด วันที่ 19 ส.ค. 63 ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ กุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งลูกศิษย์วัดนำสำรวจ จุดที่คนร้ายเข้ามางัดเอาทรัพย์สินไป
โดยช่วงเกิดเหตุคาดการณ์ว่าคนร้ายได้งัดกุญแจประตูเหล็กทางเข้ากุฏิ ก่อนเข้าไปในห้องกระจกหยิบซองใส่เงินจำนวน 20,000 บาทที่วางบนโต๊ะ
จากนั้นเดินไปประตูทางออกกุฏิด้านหลัง หยิบกุญแจที่ใส่ในตะกร้า ข้างประตูดังกล่าวไปไข กุฏิที่อยู่ติดกันเพื่อเข้าไปห้องนอนเจ้าอาวาส เมื่อเข้ากุฏิได้ ก็ทำการทุบลูกบิดห้องนอนทิ้ง ก่อนเข้าไปเจอตู้เซฟ 2 ตู้ ขนาดใหญ่และเล็ก
โดยถูกกวาดอัญมณีและของมีค่าไปทั้งหมด ส่วนเซฟตู้เล็กซึ่งมีเงินประมาณ 100,000 บาท ไม่ได้ถูกเปิดออกมา หลังจากนั้นได้เข้าไปในห้องนอน งัดลิ้นชักหัวเตียงได้เงินไป 170,000 บาท ก่อนคนร้ายวิ่งหลบหนีไปทางออกด้านหลังออกถนนหลังวัด
พระครูพิพัฒน์ธรรมภาณี เจ้าอาวาสวัด ระบุว่า เมื่อวานนี้ เวลา 08.00 น.ตนขึ้นศาลาไปทำพิธีสงฆ์เนื่องในวันพระ และทำบุญครบ 100 วันการเสียชีวิตของโยมแม่ โดยได้ปิดล็อกประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นเวลา 09.15 น. ลงจากศาลาเข้ามาที่กุฏิ สังเกตว่าประตูเหล็กเปิดอยู่ เห็นร่องรอยมีการงัด จึงเข้าไปตรวจสอบด้านใน พบว่าเงินในห้องกระจกหายไป 20,000 บาท จากนั้นเข้าไปดูกุฏิด้านหลัง ซึ่งเป็นห้องนอน พบว่าอัญมณี ทั้งสร้อยทองฝังเพชร ข้อมือทองทำ แหวนฝังเพชร พระเหลี่ยมทอง ทองรูปพรรณ พระทองคำ ที่ใส่ไว้เต็มตู้ รวมมูลค่านับ 10 ล้านบาทหายไป และเงินที่หัวเตียงจำนวน 170,000 บาทก็หายไปด้วย ส่วนตู้เซฟตู้เล็กที่ใส่เงินไว้ 100,000 บาท ไม่ได้ถูกเปิดออก
โดยอัญมณีที่อยู่ในตู้เซฟใหญ่ เป็นของที่ได้มาจากการทำบุญของลูกศิษย์เพื่อมาบรรจุในพระประธานองค์ใหญ่ที่วัดกำลังก่อสร้าง ซึ่งได้มาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เพราะตนเก็บเป็นความลับ แม้แต่พระในวัดก็ไม่ทราบเรื่อง จากการดูร่องรอยคาดว่าตนอาจจะปิดตู้เซฟไม่สนิท หรือเสียบกุญแจคาทิ้งไว้ เพราะหลังเกิดเหตุกุญแจก็หายไปด้วย
โดยขณะนี้ไม่สงสัยคนภายในวัด ทั้งพระ ลูกศิษย์ รวมถึงคนงานก่อสร้าง เพราะรู้นิสัยใจคอกันดี ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้ และหากเป็นคนในก็น่าจะเจาะจงไปที่กุฏิด้านหลังซึ่งมีทรัพย์สินมากกว่าอยู่ในเซฟ แต่นี่กลับเข้าจากกุฏิหน้า และน่าจะบังเอิญเห็นว่ามีกุฏิที่อยู่ติดกัน จึงมั่นใจว่าเป็นคนภายนอกที่อาศัยจังหวะเข้ามา
ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดภายในวัดนั้นมีทั้งหมด 32 ตัว แต่มีปัญหาเรื่องการบันทึกภาพ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 63 ก่อนเกิดเหตุ 1 วันจึงให้ช่าง ซึ่งเป็นเครือญาติที่เข้ามาในวัดเป็นประจำเข้ามาซ่อมแซม แต่ยังไม่สำเร็จ กล้องส่วนใหญ่ดูภาพได้ แต่บันทึกไม่ได้ ทำให้ดูภาพย้อนหลังไม่ได้ แต่ในกุฏิก็ไม่ได้มีกล้องวงจรปิดอยู่แล้ว มีเพียงรอบนอก ซึ่งตนก็ไม่ได้สงสัยในประเด็นนี้คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า
ตอนนี้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะพอรู้ตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว และส่วนตัวคิดว่าคนร้ายมีมากกว่า 1 คน และน่าจะเข้ามาดูลาดเลาก่อนก่อเหตุด้วย ทั้งนี้ ตนไม่เสียดายเงิน แต่เสียดายอัญมณีที่ญาติโยมถวายมา เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่าทางจิตใจ คนที่ถวายตั้งใจทำบุญแต่กลับถูกขโมย ซึ่งหากคนร้ายกลับใจก็สามารถส่งคืนมาได้ ตนไม่ได้อาฆาตหรือโกรธเคือง แต่เรื่องทางคดีต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทีมข่าวสำรวจกล้องวงจรปิดรอบวัด พบว่า มีกล้องเพียง 2 ตัวที่ส่องไปทางกุฏิเจ้าอาวาส แต่อยู่ห่างประมาณ 40 เมตร นอกจากนี้ก็มีกล้องทางเข้าวัด 6 ตัว ข้างกุฏิเจ้าอาวาส 1 ตัว ที่จอดรถ 1 ตัว ทางไปบ่อปลา 2 ตัว หน้าห้องน้ำ 1 ตัว บ่อปลา 1 ตัว ด้านหลังห้องน้ำ 1 ตัว หลังวัด 2 ตัว ศาลา 3 ตัว หอฉันท์ 2 ตัว วิหาร 2 ตัว ศาลาใหญ่ 4 ตัว โบสถ์ 2 ตัว ด้านในโดม 2 ตัว รวม 32 ตัว
ด้านนายอนุชา บุญจาคะ อายุ 44 ปี หลานชายเจ้าอาวาส กล่าวว่า วันเกิดเหตุช่วงที่เจ้าอาวาสอยู่ที่ศาลา ตนนั่งอยู่หน้าหอฉันท์ตรงข้ามกุฏิเจ้าอาวาส แต่ไม่พบความผิดปกติ เพราะประตูกระจกด้านนอกปิดอยู่ ระหว่างนั้นได้เข้าไปล้างจานในครัว ก่อนเดินมากวาดหน้ากุฏิเจ้าอาวาส และไปเดินเล่นคุยกับช่างก่อสร้างประมาณ 10 นาที จากนั้น มีของมาส่งหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ตนก็เดินมารับของ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ กระทั่งเจ้าอาวาสกลับมาที่กุฏิ ตนเดินตามเข้าไปด้านใน พบร่องรอยงัดแงะ จึงมั่นใจว่ามีคนเข้ามาขโมยทรัพย์สินมีค่า
ส่วนตัวก็คิดว่าน่าจะเป็นคนนอกที่เข้ามาก่อเหตุ เพราะวัดเป็นวัดเปิด มีคนเข้าออกจำนวนมาก รวมถึงวันเกิดเหตุมีงานทำบุญจึงอาจมีคนที่แฝงตัวเข้ามาได้ง่าย
