เดือด! “ทนายษิทรา-เดชา” โต้ยับ “ประธานบอย” เดิมพันคุกชี้หลอกคนฮุบเงินทำคดีจะถูกปิดเกม (คลิป)

10 ม.ค. 61
จากกรณี หญิงสาวทำสัญญาจ้าง “ประธานบอย” ให้หาทนายความสู้คดีให้ แต่จนแล้วจนรอดถึงวันขึ้นศาลกลับไม่มีทนายความมาว่าความให้ จึงขอยกเลิกสัญญา แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงไม่คืนเงินให้ จึงนำเรื่องขอความช่วยเหลือผ่านทนายประชาชนฯ วันนี้ (9 ม.ค.61) “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ นายธนาพิพัฒน์ ชัยธนาธนธัต หรือ “ประธานบอย” พร้อมด้วย นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม”เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม , ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และผู้เสียหาย คือ น.ส.อนุสรา วงศ์สนิท หรือ “ปุ้ย” มาคุยกันในหัวข้อ เผชิญหน้า “ประธานบอย” กับ “ทนายดัง” ช่วยคนหรือหลอกเงิน?
“อนุสรา”สาวผู้เสียหาย นำข้อมูลแฉในรายการ
น.ส.อนุสรา วงศ์สนิท หรือ “คุณปุ้ย” กล่าวว่า เบื้องต้นคุยกันต้องจ่ายเงินค่าดำเนินการ 1.5 แสนบาท แต่เมื่อเซ็นสัญญาแล้วกลับกลายเป็น 3 แสนบาท โดย “ประธานบอย” ได้ให้กระดาษเปล่ามาเซ็น แล้วนำไปเขียนข้อความเองด้วยลายมือภายหลัง ซึ่งเมื่อเลิกสัญญา ก็ไม่ยอมคืนเงิน 1.5 แสนบาทให้ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว “ประธานบอย” ได้โต้กลับว่า ผู้ว่าจ้างเรียนจบอะไรมา ถึงยอมเซ็น โดยไม่อ่านรายละเอียดในเอกสารก่อน และการไม่คืนเงินเพราะ “คุณปุ้ย” ทำผิดสัญญา เพราะการที่ตนจะช่วยเหลือ ทาง “คุณปุ้ย” ต้องยกเลิกทนายความชุดเดิม แต่กลับไม่ยอมยกเลิก ทำให้ตนเสียหายเพราะทนายความที่หามาช่วย ไม่สามารถทำคดีให้ได้ นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหาย ที่อ้างว่าเสียเงินให้กับ “ประธานบอย” อีก 2 คน รายแรกชื่อ นายวารษา กล่อมใสยาศน์ หรือ “นายแกละ” ต้องเสียเงิน 1.3 ล้านบาท ว่าจ้างให้ “ประธานบอย” ช่วยคดี
นายวารษา กล่อมใสยาศน์ หรือ “นายแกละ"
“นายแกละ” เล่าว่า ตนมีคดีอยู่หลายส่วนทั้งในเรื่องของการถูกข้าราชการ ผู้มีอิทธิพลฉ้อโกงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ที่ จ.ชุมพร ซึ่งเรื่องอยู่ที่ศาลฎีกา ระหว่างนั้น รู้จักกับ “ประธานบอย” ทางเฟซบุ๊ก และนัดเจอพูดคุยกันหลายครั้ง ซึ่ง “ประธานบอย” อ้างว่า สามารถช่วยเหลือด้านคดีได้ แต่สุดท้าย ผ่านมากลับไม่มีความคืบหน้า และยังอ้างว่า สามารถส่งหลักฐานใหม่ๆ ให้กับทางศาลฎีกาได้ “นายษิทรา” จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า การยื่นหลักฐานให้กับศาลฎีกาทำไม่ได้ ดังนั้นใครที่อ้างเช่นนี้แสดงว่า หลอกลวง และท้าทาย “ประธานบอย” ด้วยการขอเปิดคลิปหลักฐานกลางรายการ ในช่วงนี้ “ประธานบอย” ได้โต้แย้งอย่างร้อนแรงว่า ตนไม่เคยอ้างเรื่องสามารถยื่นหลักฐานให้ศาลฎีกาได้ และไม่อนุญาตให้เปิดคลิปในรายการ เพราะกำลังถูกกลุ่มดังกล่าวรุม เชื่อว่า คนกลุ่มของ “นายษิทรา” ทำงานกันเป็นขบวนการ
นางณัทกาญจน์ภร แอกทอง หรือ “บน” สาวจาก จ.อุบลฯ เหยื่ออีกคนของ “ประธานบอย”
ผู้เสียหายอีกคน คือ นางณัทกาญจน์ภร แอกทอง หรือ “คุณบน” มาจาก จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ได้ว่าจ้าง “ประธานบอย” ให้ช่วยเหลือคดีที่ตนถูกแจ้งข้อหาฉ้อโกง เสียเงินไปแล้ว 55,000 บาท แต่คดีไม่มีความคืบหน้า และได้ฟ้องร้องคดีฉ้อโกงกับ “ประธานบอย” ด้วย
“ประธานบอย”แจงสาเหตุนอกรอบกับสือ
ด้าน “ประธานบอย” โต้กลับว่า คดีของ “คุณบน” ได้จบไปแล้ว และที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบเพื่อติดตามคดีซึ่งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายตนเองมีหลักฐานทั้งหมด
แย้งกลับเผ็ดร้อน ประเด็นเป็นนายหน้าหาทนาย
ทนายเดชา กิตติวิทยานันนท์ ได้โต้แย้ง “ประธานบอย” อย่างดุเดือด โดยย้ำว่า พฤติกรรมที่ผ่านมาทำตัวเสมือนเป็นนายหน้าหาทนายความให้กับผู้เดือดร้อน ทำตนเสมือนเป็นสำนักงานทนายความ ผิดกฎหมายชัดเจน และทนายคนไหน รับงานจาก “ประธานบอย” จะต้องถูกลบชื่อจากความเป็นทนาย ซึ่งตนเองจะเอาผิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน  ติดคุกแน่นอน รายการนี้จะเป็นรายการแรกที่จะปิดเกม “ประธานบอย” และพี่น้องทนายความทั้งหมด จะดำเนินคดีกับ “ประธานบอย”
ธนาพิพัฒน์ ประธานบอย กับ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด 
ด้าน “ทนายษิทรา” ได้กล่าวจบรายการว่า ตนเองจะดำเนินคดีกับคนที่หลอกลวงประชาชน หลังจบรายการ ทั้งปลอมแปลงเอกสาร และหลอกลวงประชาชน ในช่วงนี้เอง “ประธานบอย” ก็ได้กล่าวสวนทันที ด้วยเสียงอันดังว่า การฟ้อง คือ สิ่งที่ควรทำที่สุด แต่ไม่ใช่ออกมาให้ข่าวก่อนจนคนอื่นเสียหาย พร้อมทิ้งท้ายอย่างท้าทายว่า ถ้าตนรวมคนที่เคยช่วยเหลือมาทั้งหมด ออกมาชนกับ ทนายษิทรา ทนายเดชา ตนสามารถรวมคนได้มากกว่า 10 เท่า แต่ที่ไม่เอามาออกรายการ เพราะไม่อยากเห็นการทะเลาะกัน
นางฐาปนีย์ โบเด้ ผู้เสียหาย
ขณะที่ผู้เสียหายอีกคน คือ นางฐาปนีย์ โบเด้ เล่าว่า เมื่อปี 2559 “ประธานบอย” กับพวกกว่า 10 คน ได้เดินทางมาจัดอบรมชาวบ้านที่ โรงเรียนศูนย์เด็กเล็กเชียงดาว โดย “ประธานบอย” อ้างตัวว่า เป็นกลุ่มต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ตนจึงเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ และเล่าเรื่องที่ สามีชาวต่างชาติ ถูกดำเนินคดีฉ้อโกงทางธุรกิจให้ฟัง ซึ่ง “ประธานบอย” ได้นัดพูดคุย พร้อมกับรับปากว่าจะช่วยเหลือ ต่อมาได้นัดคุยกัน และเรียกค่าใช้จ่ายรอบแรก 120,000 บาท เป็นค่าทนายและเอกสารดำเนินการ ก่อนจะเรียกค่าแปลเอกสาร 40 แผ่น เป็นเงิน 60,000 บาท รวมถึงเซ็นใบมอบอำนาจในการจ้างทนายให้ เป็นกระดาษเปล่ายังไม่เขียนข้อความอะไร จนถึงขณะนี้ ยังไม่เคยเจอหน้าทนายแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อสอบถามถึงความคืบหน้าก็ถูกบ่ายเบี่ยงตลอด ต่างจากตอนที่จะเอาเงิน “ประธานบอย” จะกดดันให้โอนภายในระยะเวลาที่กำหนดทุกครั้ง ซึ่งตนก็ต้องไปหยิบยืมมาจ่ายให้ เพราะไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต้องหาเงินเลี้ยงหลานอีก 2 คน ทุกวันนี้ต้องเดือดร้อนมาก และเมื่อเห็นข่าว จึงเดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ เพื่อร้องเรียนผ่าน “ทนายษิทรา”

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ