'ฟิล์ม' เริ่มต้นใหม่ วอนขอให้จบอดีต 'ใครคือพ่อเด็ก?'

9 ม.ค. 61
ถือเป็นดราม่าในตำนานเลยก็ว่าได้ สำหรับมหากาพย์ ดีเอ็นเออยู่บนหน้า? เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งจากกระแสดังกล่าวก็เล่นเอาหนุ่มฮอตเปรี้ยงแห่งยุค "ฟิล์ม รัฐภูมิ" กลายเป็นดาวดับแสงจากพิษข่าวฉาว ติดโผเป็นพ่อของเด็ก ซึ่งท้ายแล้วศาลฯ ก็ได้มีคำสั่งให้ถอนชื่อของหนุ่มฟิล์มออกจากการเป็นพ่อของเด็ก หลังจากเรื่องเงียบหายไปนานกว่า 8 ปี ล่าสุดแฟนคลับหนุ่มฟิล์ม ได้ขุดเรื่องราวนี้ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมแทกทีมติดแฮชแทก #ขอความเป็นธรรมให้ฟิล์มรัฐภูมิ ด้านอดีตนักร้องซุปตาร์ก็ได้ออกมาเปิดใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ยันตนไม่ติดใจอะไรแล้ว วอนทุกคนจบ ยอมรับหวั่นดราม่ากระทบอนาคตเด็ก แฟนคลับกลับมาเรียกร้องขอคืนความยุติธรรมให้กับเรา พอเห็นข่าวนี้หรือยัง? “ได้เห็นครับ เพราะแชร์กันเยอะมาก ผมมองว่าจริงๆ แล้วความจริงก็คือความจริงครับ เราพูดมาตลอดอยู่แล้ว แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เหมือนใครเอาขึ้นมาโพสต์ใหม่อีกครั้ง ซึ่งในส่วนตัวผมนั้นได้พูดไปหมดแล้ว ในส่วนของครอบครัวก็ไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นอะไรมากมายกับข่าว เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าความจริงคืออะไร” เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว แต่คนกลับเอามารื้อฟื้นอีก มันกระทบกับเราแค่ไหน? “ในส่วนตัวคือผมเชื่อมั่นในตัวผมเองอยู่แล้วอย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่วันแรก แต่ตอนนี้ผมอยากให้มันอย่าไปกระทบกับใครมากดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นความผิดของผู้ใหญ่ ซึ่งคนที่เขาไม่รู้เรื่อง เขาอาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย ในส่วนตัวผมถ้าแฟนคลับเขียนมาว่าคิดถึงผม ผมได้อ่านผมก็ดีใจ แต่อย่าไปว่าใครหรือไปกระทบใครเขามากครับ” พอแฟนคลับมาขอความเป็นธรรมให้กับตัวเรา เรารู้สึกยังไง? “ส่วนตัวผม ผมมองที่ต้นเหตุก่อนครับ จริงๆ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็เกิดขึ้นที่ตัวผมก่อนเหมือนกัน ผู้ใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น แต่เราไม่อยากไปรื้อฟื้นอะไรมาก ผมเลยไม่ได้ออกมาพูดอะไรมากมายนัก ได้แต่ออกมาขอบคุณที่คิดถึงกัน ขอบคุณที่รักกัน เพราะวันแรกที่ผมได้เข้ามาในวงการบันเทิงก็ได้รับการต้อนรับ การเอ็นดูจากพี่ๆ สื่อมวลชนและแฟนคลับทั้งนั้น” สบายใจขึ้นไหม ? “มันอยู่ที่ตัวเราเองนะครับ ผมพูดเสมอว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง แล้ววันนี้มันก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น แต่ตัวผมเองไม่ได้แสดงอาการว่าดีอกดีใจหรือไปตื่นเต้นอะไรกับข่าวมากนัก เพราะผมมองว่ามันอาจจะไปกระทบกับคนที่ไม่รู้เรื่อง” เหมือนข่าวนี้จะยังไม่หลุดพ้นจากตัวเราออกไปเสียที คนก็ยังคงพูดถึงเรื่อย? “มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ให้ความชัดเจนกับสังคมตั้งแต่ตอนแรก สังคมก็จะหยิบขึ้นมาพูดตลอดเวลา แต่ ณ วันนี้ทุกอย่างมันชัดเจนขึ้น เขาก็ต้องเอาออกมาพูดอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่ในส่วนตัวผมชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่วันแรก อาจจะนานหน่อยแต่ทุกวันนี้เรื่องก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ” พอความชัดเจนออกมาว่าเราไม่ได้เป็นพ่อของร้องจริงๆ จะมีการขอค่าเลี้ยงดูคืนไหม? “ไม่ครับ มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว วันนี้ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ ทำตัวให้ดี ทำประโยชน์ให้กับสังรม และทำทุกอย่างให้ดี แก้ไขในสิ่งที่เคยผิดพลาดและคึกคะนองกันมา” กับชื่อเสียงที่เคยเสียไป เรารู้สึกยังไงบ้าง ? “ตัวผมเฉยๆ ครับ ทุกวันนี้ผมรู้ตัวว่าผมทำอะไร สิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันก็เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของผมเหมือนกัน ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นเหตุครับ จะไปโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นต้นเหตุด้วยกันทั้งนั้น แต่ ณ วันนี้เรารู้แล้ว เราก็แก้ไขปรับปรุงให้มันดีขึ้น ไม่เป็นไรครับ เริ่มกันใหม่ ทำงานกันใหม่” แต่เรื่องนี้เหมือนเป็นภาพติดตัวเราไปแล้ว ทำให้คนจำภาพเราจากเรื่องราวนั้น ? “ใช่ครับ ภาพที่ติดผมว่าอยู่ที่คนมอง วันนี้พอข่าวเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น คนก็มองกันใหม่ได้ แต่ในส่วนตัวผม ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าผมทำอะไร และผมรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่วิธีการใช้คำพูดของผมคือผมไม่ทำร้ายใครอยู่แล้ว ผมก็พูดกลางๆ แล้วให้ทุกคนไปคิดกันเอาเองว่าประมาณไหน ผมจะพูดแฝงไว้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลผมไม่อยากให้ไปเล่าเรื่องเก่า เราผ่านกันมานานหลายปีแล้ว ทุกคนต่างมีชีวิตที่ดี” ต่างคนต่างอยู่มานานแล้วใช่ไหม? “ใช่ครับ” เหมือนเราก็อยากให้เรื่องนี้จบลงแล้ว? “จบมันก็ดีแหละ ต้องขอบคุณทุกๆ คนเลยที่คิดถึงกัน ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจที่ส่งมาให้ แต่จริงๆ แล้วคนที่เขาไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร อยากให้เขามีอนาคตทีดี มีชีวิตที่ดีต่อๆ ไป ไม่อยากให้เขาต้องถูกใครมาว่าหรือมาล้อ แต่ในส่วนของผู้ใหญ่ก็ได้รับโทษในส่วนของแต่ละคนไปแล้ว ก็ไม่เป็นไรครับ” สิ่งที่ฟิล์มพูดมาวันนี้คือห่วงความรู้สึกเด็ก? “ใช่ครับ จริงๆ เริ่องราวของเขาผมก็ไม่ได้ติดตามอะไร แต่พอมีกระแสข่าวขึ้นมาผมก็ตามอ่าน ผมเห็นว่าคนที่ไม่รู้เรื่องแต่ถูกพิพากษาไปด้วยมันดูแล้วน่าสงสาร ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้วมันเกิดจากการกระทำของผู้ใหญ่ทั้งนั้น” ส่วนตัวเราอยากได้รับคำขอโทษกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไหม ? “ผมว่าไม่จำเป็นนะครับ ถ้าจะได้รับมันควรต้องเป็น ณ วันนั้น ณ เหตุการณ์ตอนนั้นที่เราเกิดวิกฤตกันอยู่ แต่ ณ วันนี้ผ่านมาหมดแล้ว ผมก็มีชีวิตของผมแล้ว ครอบครัวผมก็โอเคขึ้นแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลผมไม่เคยโทษคนอื่นนะครับ ผมโทษแต่ตัวผมเองท้งนั้น มันก็เกิดจากการกระทำของตัวผมเองทั้งนั้นแหละ ถ้าผมไม่เริ่มมันก็คงไม่เกิด เลยโทษแต่ตัวเองครับ ไม่รู้จะโทษคนอื่นทำไม”

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส