หนุ่มป.ป.ส.จ๋อยรับผิดชักปืนขู่ คนเจ็บยันดื่มแต่ไม่เมายอมจบ เพราะเบลอจำไม่ได้ (คลิป)

13 ก.ค. 63

จากกรณีมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวพร้อมคลิปหลังเกิดอุบัติเหตุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชนกัน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ 2 ราย ซึ่งมีชายที่ขับรถยนต์ควักปืนขึ้นมาข่มขู่ และถามประมาณว่าถ้ารถกูพังมึงจะจ่ายเท่าไหร่นั้น 

653037234505

ล่าสุดวันที่ 13 ก.ค.63 นายตี๋ (นามสมมติ) ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงรอยต่อวันที่ 11 ก.ค.-12 ก.ค. เวลาประมาณ 03.00 น. ตนเองขับรถมากับแฟนสาวกำลังจะกลับบ้านย่านดอนเมือง และเห็นว่ามีอุบัติเหตุบนถนนนาวงประชาพัฒนา หน้าหมู่บ้านในแขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. ได้รีบโทรศัพท์แจ้งกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที

157279

ตอนนั้นตนไม่เห็นว่าใครชนก่อน แต่เห็นว่าเพิ่งชนกันเป็นเหตุระหว่างมอเตอร์ไซค์ กับรถยนต์วอลโว่ จึงได้จอดดูเหตุการณ์ ซึ่งมอเตอร์ไซค์มากัน 2 คน ส่วนรถยนต์เป็นชายชุดดำมาคนเดียวพร้อมอาวุธปืน ตนได้ยินชายเสื้อดำเจ้าของรถ พูดในทำนองโวยวายน่าจะโมหามากที่รถถลอก จับใจความได้ว่าชายเสื้อดำต่อว่าคู่กรณีว่าชะลอรถทำไม เบรกทำไม และบอกว่ารถเขาเสียหาย เห็นว่าชายที่ขับมอเตอร์ไซค์ตอนนั้นนั่งบนถนนมีอาการคล้ายยังมึนงง และขอโทษชายเสื้อดำ แต่ชายเสื้อดำก็ใช้ขาเตะหลัง ใช้ไฟฉายส่องหน้า ตามที่ปรากฎในคลิป และในคลิปจะได้ยินเสียงชักกระบอกปืนด้วย

775026

ตอนนั้นตนกับแฟนตกใจ ก็พยายามสะกิดให้แฟนเอามือถือลงถ่ายต่ำ ๆ จากนั้นไม่นานกู้ภัยมาถึงพื้นที่ ซึ่งกู้ภัยก็กลัวเหมือนกัน เพราะชายเสื้อดำบอกว่าไม่ต้องให้กู้ภัยเข้าไปช่วยคนเจ็บ แต่กู้ภัยก็ต้องช่วยตามหน้าที่ นอกจากนี้ หลังจากที่โพสต์คลิป มีเฟซบุ๊กปริศนาทักมาแสดงตัวว่าขอให้ตนลบคลิปออก เนื่องจากเขาได้เคลียร์กับคู่กรณีที่บาดเจ็บแล้ว และยังอ้างว่าตนตอนนี้เจ้าตัวกำลังจะถูกไล่ออกจากงานด้วย ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวจริงไหม จึงไม่ได้ตอบ

156479

นายเก่ง ไกสร อายุ 42 ปี ผู้บาดเจ็บ เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์ เปิดเผยว่า ตนเองขับมอเตอร์ไซค์มากับเพื่อนจากทางดอนเมือง กำลังจะกลับที่พัก โดยมุ่งหน้ามาตามถนนสรงประภา ผ่านวัดสีกัน และมุ่งหน้าต่อมาตามถนนนาวงประชาพัฒนา เพื่อที่จะกลับที่พักแถววัดรังสิต ซึ่งอีกประมาณ 5 กม. ก็จะถึงที่พัก ระหว่างทางได้ขับมาปกติ ไม่ได้มีอาการมึนเมา เพราะดื่มไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว

316649

ระหว่างที่ขับมาตามถนน รู้สึกได้มีบางอย่างมาชนท้ายรถตน ตนและเพื่อนก็ตกลงจากรถ ตอนนั้นตนเบลอจำอะไรไม่ได้เลย และไม่มีสติวูบคล้ายกับว่าฝันไป และที่ชายเสื้อดำมาคุยกับตน ตนก็ไม่รู้เรื่องและจำเหตุการณ์ไม่ได้ จำได้เพียงคำว่า “รถกูถลอก ต้องชดใช้” หลังจากเกิดเรื่องก็ได้เจอกันที่โรงพัก ทางคู่กรณีก็บอกว่าจะรับผิดชอบ

เบื้องต้น อาการของตนจาการถูกรถชน นอนตะแคงไม่ได้เลยเนื่องจากปวดมาก และหมอบอกว่าไหปลาร้าด้านซ้ายน่าจะหัก ต้องใส่สายสะพายไหล่เอาไว้ จะเอ็กซเรย์อีกครั้งวันที่ 15 ก.ค. 63 โดยหมอได้เย็บแผลที่ท้ายทอย 5 เข็ม และมีแผลถลอกตามมือทั้ง 2 ข้าง และถลอกที่ใบหน้าด้านขวาด้วย เหตุการณ์นี้ตนก็รู้สึกเสียใจ ตนไม่โกรธอะไร แต่อยากรู้ว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

731904

นายต๋อง แซ่หุ้น อายุ 40 ปี เพื่อนของนายเก่ง ผู้เจ็บที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เปิดเผยว่า ขณะถูกชนตนก็ไม่รู้ตัว ซึ่งตนและเพื่อนยอมรับว่าดื่มเหล้ามาตั้งแต่หัวค่ำเล็กน้อย แต่ไม่ได้เมา ตอนเกิดเหตุประมาณ 03.00 น. ขณะรถกระแทกเข้ามา ตนก็มีอาการเบลอ และชายเสื้อดำก็จอดรถลงมาจากรถด่าทอตนทั้ง 2 คน ตนจำได้ว่าชายเสื้อดำเดินมาหาตนและพูดเสียงดังในทำนองให้รับผิดชอบ เพราะห่วงรถยนต์ และด่าตนสารพัด พร้อมทั้งอ้างตัวว่าเป็นตำรวจ และตนได้ยินเสียงปืนชัดเจน

230000

หลังเกิดเหตุ ตนได้ดูคลิปแล้วคิดว่าทำเกินไป เพราะเมื่อวานนี้นัดเจอกันที่ สน.ดินเมือง แทบกราบตน และขอโทษอย่างเดียว บอกจะช่วยเยียวยาให้ ตนก็ให้อภัยได้ เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน ตนสงสาร เพราะตนทราบว่าจะต้องถูกออกจากงาน ซึ่งเป็นพนักงานอยู่ใน ป.ป.ส. ตนเองก็เห็นใจ เพราะคนเราอาจจะมีผิดพลาดกันได้ พรุ่งนี้ก็จะไปไกล่เกลี่ยกัน เขาจะชดใช้ค่าเสียหายให้ คุยว่าคนละ 10,000 บาท ส่วนอาการของตนมีแผลถลอกตามขา มือ และบริเวณข้างใบหน้าด้านซ้าย

793752

โดยช่วงเย็น ที่ สน.ดอนเมือง คนขับวอลโว่เดินทางมาให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมรับบผิด แต่ยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยให้เหตุผลว่าที่ทำไปไม่ได้ข่มขู่ และไม่ได้จะทำร้ายร่างกายคู่กรณี แต่ทำไปเพื่อป้องกันตัว เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีเหตุบานปลายหรือไม่จึงเอาอาวุธลงไปป้องกันตัวก่อน

"ตนเองขอโทษสังคมสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ได้ติดต่อไปหาคู่กรณีเรียบร้อยแล้ว คู่กรณีไม่ติดใจเอาความแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นตนเองได้บอกกับตำรวจไปทั้งหมด อยู่ในสำนวนเรียบร้อย ไม่ขอพูดอะไรอีก ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีการขึ้นลำปืนข่มขู่คู่กรณี และตอนนั้นตนไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์" ผู้ก่อเหตุ กล่าว

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส