อดีตนายทหารอึ้ง หลังหนี้เงินกู้โผล่เกือบ 6 แสน ธนาคารรับผิดปล่อยกู้ทั้งที่เอกสารไม่ครบ

12 มิ.ย. 63

วันที่ 12 มิ.ย.63 กลุ่มเพื่อนข้าราชการบำนาญทหาร นำโดย พ.ท.สมทรง คงพึ่ง อดีตรองหัวหน้ากลุ่มอำนวยการและบริหารงานบุคคล กอ.รมน.ตรัง พร้อมด้วย นายณัฐวุธ รัตนพันธ์ อายุ 30 ปี ลูกชายของ ร.ท.นฤทธิ์ รัตนพันธ์ อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ และเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วยโรคเส้นเลือดใหญ่ในสมองตีบ มาตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.60 ได้ช่วยกันยกรถวิลแชร์ที่มี ร.ท.นฤทธิ์ นั่งอยู่ด้วย ขึ้นมายังศาลากลางจังหวัดตรัง ไปที่สำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง เข้าพบกับ พ.อ.ชยพล โชคจิรบวรเดช สัสดีจังหวัดตรัง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง

557333

หลังตรวจสอบพบว่าชื่อของ ร.ท.นฤทธิ์ ตกเป็นหนี้เงินกู้เงินธนาคารจำนวนสูงมากเกือบ 600,000 บาท ทั้งที่ เจ้าตัวเป็นป่วยติดเตียง ไม่เคยเดินทางไปทำธุรกรรมใด ๆ กับธนาคาร และไม่สามารถเดินทางได้ตามลำพัง เพราะการจะไปกู้เงินกับธนาคารได้นั้น เจ้าตัวจะต้องมาเขียนคำร้องขอหนังสือรับรองสิทธิในบำเหน็จตกทอด เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงินได้จากสำนักงานสัสดีจังหวัดตรังเท่านั้น

730527

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า ร.ท.นฤทธิ์ มีชื่อเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อยถนนพระราม 6 ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง เป็นจำนวนสูงถึง 594,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.62 ซึ่งธนาคารกรุงเทพ ได้ทำเรื่องหักเงินจากกรมบัญชีกลาง เดือนละ 3,910 บาท โดยที่หนังสือคำร้องยื่นเรื่องขอหนังสือรับรองสิทธิฯ ของ ร.ท.นฤทธิ์ ไม่มีในแฟ้มจัดเก็บข้อมูลของสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง

415183

พ.อ.ชยพล โชคจิรบวรเดช สัสดีจังหวัดตรัง บอกว่า ขั้นตอนการขอหนังสือรับรองสิทธิฯ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์กู้เงินจากธนาคารนั้น เจ้าตัวหรือทายาทที่มีหนังสือมอบอำนาจจะต้องมาเขียนคำร้องด้วยตนเอง และจะต้องเป็นคนไปรับหนังสือดังกล่าวจากสำนักงานคลังจังหวัดตรัง ด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะนำหนังสือไปยื่นเรื่องขอกู้ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่สัสดีจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหลังจากนั้น จึงขอให้ตรวจสอบกับสำนักงานคลังจังหวัดตรังว่าใครเป็นรับเอกสารไป

ขณะที่ชี้แจงดังกล่าว ได้มี น.ส.พชร จันทร์ดำ พนักงานการเงินและบัญชี ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นคนที่นำหนังสือรับรองสิทธิฯ ของ ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญทหารอีกราย ไปยื่นเรื่องกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง จำนวน 600,000 บาท จน ร.ต.ทักษิณ ไปแจ้งความเอาผิดไว้ที่ สภ.เมืองตรัง เพื่อให้ตรวจสอบไว้แล้วมาร่วมให้ข้อมูลด้วย เนื่องจากการออกหนังสือคำร้องดังกล่าว ฝ่ายการเงินและบัญชีสำนักงานสัสดีจะต้องรับผิดชอบคีย์ข้อมูลเข้าระบบคนเดียว

ซึ่ง น.ส.พชร ได้ชี้แจงต่อหน้าสัสดีจังหวัดตรัง ว่า เพื่ออำนวยความสะดวกเกือบทั้ง 100% ตนจะเป็นคนลงไปรับหนังสือรับรองสิทธิฯ จากสำนักงานคลังจังหวัดมาเก็บรอให้เจ้าตัวมารับ และจำไม่ได้ว่าก่อนนั้น ร.ท.นฤทธิ์ มายื่นคำร้องด้วยตนเองหรือไม่ เพราะข้าราชการบำนาญมีหลายคน เช่นเดียวกับกรณี ร.ท.ทักษิณ ที่เกิดปัญหาจากกรณีคล้ายกันนั้น น.ส.พชร ระบุว่า ได้ไปที่ธนาคารเพื่อเป็นเพื่อนตามที่ ร.ท.ทักษิณ ร้องขอเท่านั้น

554378

จากนั้นเพื่อนข้าราชการบำนาญ พร้อมด้วยผู้เสียหาย และลูกชาย ได้ลงไปที่สำนักงานคลังจังหวัดตรัง เพื่อตรวจสอบหลักฐานคนมารับหนังสือรับรองสิทธิฯ ของ ร.ท.นฤทธิ์ พบว่า เป็น น.ส.พชร เป็นคนรับไป จากนั้นทั้งหมดจึงพากันไปที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อยถนนพระราม 6 เพื่อสอบถามกับผู้จัดการธนาคาร ปรากฏว่า ร.ท.นฤทธิ์ ไม่ใช่คนที่ไปกู้เงินดังกล่าวจริง แต่ทางธนาคารปล่อยกู้ให้ไปอย่างง่ายดาย และหลักฐานใบเสร็จรับเงินธนาคารส่งไปให้แก่ น.ส.พชร ตามที่อยู่ที่แจ้งคือ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ไม่ใช่ส่งให้แก่ ร.ท.นฤทธิ์ ทั้งหมดจึงพากันไปแจ้งความที่ สภ.เมืองตรัง

ต่อมาผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อยถนนพระราม 6 ได้เดินทางมาขอร้องไม่ให้แจ้งความเอาผิดธนาคาร โดยธนาคารพร้อมรับผิดและรับผิดชอบทุกประการ แต่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ทั้งนี้ พบว่าในการปล่อยกู้ครั้งนี้ ทางธนาคารยืนยันว่า คนมากู้หน้าตาคล้าย ร.ท.นฤทธิ์ มาก แต่ไม่ได้นั่งรถเข็น มีบัตรประชาชนตัวจริง แต่ใช้สำเนาทะเบียนบ้าน

นายณัฐวุฐ รัตนพันธ์ อายุ 30 ปี ลูกชาย ร.ท.นฤทธิ์ บอกว่า เพิ่งตรวจสอบพบปัญหาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทราบข่าวกรณีนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนของพ่อ และพบยอดเงินถูกหักจากธนาคารเหมือนกัน จากเดิมคุณพ่อเคยรับเงินบำนาญอยู่ที่ประมาณเดือนละ 26,000 บาท แต่จู่ ๆ มาถูกหักไปเป็นค่าผ่อนชำระหนี้ ตั้งแต่เดือน มี.ค.62 จนเหลือเงินบำนาญประมาณเดือนละ 22,000 บาท ทั้งที่คุณพ่อไม่เคยไปธนาคาร หรือไปยื่นกู้ใด ๆ อีกทั้งคุณพ่อยังป่วยจนเขียนหนังสือไม่ได้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเอะใจมาก่อน เพราะทุก ๆ เดือนจะไปกดเงินมาใช้ด้วยบัตรเอทีเอ็ม จึงไม่ทราบเงินที่โอนเข้ามาในแต่ละเดือนว่ามีจำนวนเท่าไหร่

พ.ท.สมทรง คงพึ่ง เพื่อนของ ร.ท.นฤทธิ์ บอกว่า หลังจากพาผู้เสียหายเดินทางไปยังธนาคารเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ เมื่อทางธนาคารเห็นหน้าก็บอกทันทีเลยว่า ผู้ที่ไปกู้ในวันนั้นเป็นคนละคนกับผู้เสียหายในวันนี้ แต่สาเหตุที่ปล่อยให้กู้ไปในวันนั้น เพราะผู้กู้ได้มีการแสดงบัตรประชาชนตัวจริง และมีหน้าตาคล้ายกับผู้เสียหายมาก แต่ใช้สำเนาทะเบียนบ้านไม่ใช่ตัวจริง และธนาคารก็ยังปล่อยให้กู้เงินไป ขณะที่เจ้าหน้าที่สัสดีหญิงที่ถูกกล่าวหา ทุกวันนี้ก็ยังไปทำงานอยู่ และยังคงปฎิเสธไม่รู้ไม่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นในกระบวนการออกหลักฐานของทางราชการ เพียงแต่เรื่องการทุจริตนั้นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน พร้อมฝากให้ข้าราชการบำนาญหมั่นตรวจสอบบัญชีเงินเดือนของตัวเองสม่ำเสมอ โดยเข้าไปดูที่เว็บไซด์กรมบัญชีกลางว่ามีการหักอะไรหรือไม่ และทุกอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะมีเหยื่อจากเหตุการณ์นี้ 2 คนแล้ว และคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายเพิ่มอีก

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส