จากกรณีชาวบ้านวังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 4 คน หลงป่า ขณะขึ้นไปหาเห็ดและของป่าบนเทือกเขาลำพาด หรือเทือกเขาจอมปลวก ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 63 เวลาประมาณ 09.00 น.
ประกอบด้วย 1.นางแดง ชัยชนะ อายุ 43 ปี, 2.นายวิโรจน์ ชัยชนะ อายุ 45 ปี, 3.นางรัตน์ ยาบุตร อายุ 45 ปี และ 4.ด.ช.ปัญญา น้อยอินทร์ อายุ 13 ปี ปัจจุบันไม่สามารถติดต่อได้
วันที่ 15 พ.ค. 63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่หมู่บ้านป่ามะกรูด ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก มีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ ตามหาคนหายเป็นวันแรก การบูรณาการของตำรวจ ทหาร กรมปกครอง เจ้าหน้าที่อุทยานทุ่งแสลงหลวง หน่วยกู้ภัยบูรพา หน่วยกู้ภัยประสานบุญสถานพิษณุโลก
โดยวันนี้ได้มีเจ้าหน้าที่จำนวน 80 คน เดินค้นหาผู้สูญหาย แบ่งชุดการทำงานเป็น 6 ทีม แบ่ง 3 ทีมเดินตามรอยเท้าของผู้สูญหาย บริเวณบนเทือกเขาจอมปลวก ส่วนอีก 3 ทีมจะเดินลาดตระเวณตามแหล่งน้ำ รัศมี 15 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบเพียงรอยเท้าที่ใกล้ป่ามะก่อ ใกล้กับถ้ำขุนอภัย แต่ไม่เจอตัวผู้สูญหาย พบรอยข่วนที่ต้นไม้ รอยคล้ายหมีขนาดโตเต็มวัย
นายมานพ ธรรมยา อายุ 55 ปี นายพรานที่ร่วมเดินค้นหา เปิดเผยว่า จากการที่ตนเดินค้นหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ พบว่าสภาพป่าค่อนข้างรกทึบ จากถนนเส้นทางที่มีคนเคยเดินก็มีต้นไม้หนามขึ้นมาปกคลุมจนชุดค้นหาต้องเบิกเส้นทางใหม่แทบทั้งหมด ซึ่งมีความยากลำบากมาก
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือมีรอยเท้าหมีขนาดโตเต็มวัย 3-4 รอย แต่มีรอยข่วนตามต้นไม้ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีหมีจำนวนกี่ตัว ซึ่งหมีเป็นสัตว์ดุร้ายที่จะเข้าทำร้ายคน แต่ถ้าหากผู้สูญหายไม่ได้รับบาดเจ็บก็จะหนีทัน แต่ถ้ากลุ่มผู้สูญหายมีผู้บาดเจ็บ ก็อาจจะทำให้เป็นจุดอ่อนและหมีไล่ตามทำร้ายได้
นายมานพ กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อของชาวบ้าน เป็นไปได้ว่าผู้สูญหายอาจจะเดินไปเหยียบเครือเขาหลง เครือเถาหลง เครือสาวหลง หรือเส้นผมนางไม้ ซึ่งมีหลายชื่อตามท้องถิ่น เป็นเถาวัลย์ขนาดเล็กคล้ายเส้นผม คนโบราณเชื่อว่าถ้าเดินเข้าป่าแล้วไปเหยียบหรือข้าม จะทำให้คนเดินป่าหลงและหาทางออกจากป่าไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีชาวบ้านหลงป่ามาแล้ว หรือบางคนที่ขึ้นไปอาจจะพูดลบหลู่ จนทำให้ผีป่าบังตาออกมาไม่ได้
นายบุญยืน น้อยอินทร์ อายุ 58 ปี พ่อของ ด.ช.ปัญญา ผู้สูญหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายวิโรจน์ นางแดง นางรัตน์ เป็นเครือญาติได้มาชวนลูกชายของตนขึ้นไปเก็บลูกมะก่อในป่าเพื่อนำมาขาย เพราะช่วงนี้ลูกมะก่อราคาดี ขายได้ถึงลูกละ 1 บาท ซึ่งผู้สูญหายทั้งหมดไม่ได้เตรียมของไปเยอะ พกมีดคนละ 1 เล่ม ข้าวห่อมื้อเที่ยงคนละ 1 ห่อ น้ำคนละ 1 ขวด และกระเป๋าใส่สิ่งของเท่านั้น
กระทั่งเวลา 16.00 น. นางแดงโทรศัพท์กลับมาหาญาติ บอกว่ากำลังเดินเลาะป่ากลับ ซึ่งญาติก็รอจนค่ำ แต่ก็ไม่มีใครกลับมา กระทั่งช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น 13 พ.ค. 63 ลูกชายของนางรัตน์ 2 คน ได้เดินเข้าป่าเพื่อตามหาผู้สูญหาย แต่ก็ไม่เจอ จากนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. นางแดงได้โทรกลับมาหาญาติอีกครั้ง และบอกว่าหลงป่า โดยจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคืออยู่ท่ามกลางป่ามะก่อ ซึ่งญาติก็พอจะนึกได้ว่าเป็นจุดไหน และสั่งให้ทั้งหมดอยู่กับที่ ห้ามไปไหน
จากนั้น ตนจึงได้เดินป่าออกตามหาผู้สูญหายร่วมกับลูกชายของนางรัตน์อีก 2 คน เดินจากหมู่บ้าน เวลา 17.00 น. เข้าป่า 5-7 กิโลเมตร ด้วยสภาพป่าที่รกทึบ มีหนามเยอะ และเส้นทางลาดชัน ทำให้ตนไปถึงจุดที่เป็นป่ามะก่อ เวลาประมาณ 21.00 น. ใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง แต่ด้วยความมืด ตนเรียกหาพวกเขาไม่เจอ ทำให้จำเป็นต้องถอยกลับ และแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือในวันที่ 14 พ.ค. 63 กระทั่งเข้าไปค้นหา และมีสุนัขดมกลิ่นช่วยด้วย ล่าสุดก็ยังไม่พบตัว
นายบุญยืน กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกกังวลใจมาก เพราะลูกชายตนไม่เคยเข้าป่ามาก่อน กลัวว่าเขาจะลำบากและได้รับอันตราย ถ้าตนหลงแทนลูกได้ก็อยากจะหลงแทน ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ลูกกลับมาอย่างปลอดภัย เชื่อว่าอาจจะมีผีบังตา เพราะก่อนหน้านี้ตนซื้อเหล้าตั้งถวายเจ้าที่แล้ว หวังจะให้ช่วยเปิดป่าให้ลูกชายได้กลับมา
อย่างไรก็ตาม วันนี้เจ้าหน้าที่ได้เดินตามหาเป็นรัศมี 15 ตารางกิโลเมตร แต่ก็ยังไม่พบเบาะแส ซึ่งได้ยุติการค้นหาในเวลา 17.00 น.