จากกรณี
พระญาณวิไชย ภิกขุ หรือ “ครูบาน้อย” ออกจากการบำเพ็ญพระกรรมฐาน ภายในถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน เป็นเวลา 3 ปี 3 เดือน 3 วัน สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าลูกศิษย์ ขณะเดียวกันหลายฝ่าย ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า วิธีปฏิบัติของ "ครูบาน้อย" นั้นถูกหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่
ล่าสุด วันนี้(19 ต.ค.60)
นายจตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา ได้ให้ข้อมูลว่า กรณีวิธีปฏิบัติของ "ครูบาน้อย" ส่วนตัวมองว่าเป็นการอาบัติ เพราะมองว่าผิดหลักพระธรรมวินัย 2 ข้อ ข้อที่ 1 คือ เรื่องไม่ปลงผม ระหว่างบำเพ็ญพระกรรมฐานในถ้ำกว่า 3 ปี เป็นเรื่องที่ผิดหลักของศาสนาพุทธ
สำหรับข้อที่ 2 คือ การสมาทานไม่พูดกับใคร หรือที่เรียกว่า มูควัตร ที่แปลว่า การปฏิบัติอย่างเป็นใบ้ คือการงดเปล่งวาจา ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็น "เดียรถีย์สมาทาน" เป็นการปฏิบัตินอกศาสนาพุทธ ซึ่งตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำของโมฆะบุรุษถือเป็นการอยู่อย่างสัตว์ ไม่พูดไม่จา และพระพุทธเจ้าทรงห้ามการทำแบบนี้ ซึ่งทั้งการไม่ปลงผม และการสมาทานไม่พูดกับใคร พระพุทธเจ้าทรงปรับไว้ว่าเป็นอาบัติทั้งคู่
นายจตุรงค์ ยังมีข้อสงสัย คิดว่าเพราะเหตุใด "ครูบาน้อย" ซึ่งเป็นพระมหา จึงเลือกที่จะบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม เลือกบำเพ็ญเพียนในสิ่งที่เป็นอาบัติ และเป็นสิ่งที่ดูแล้วขัดแย้งกับหลักพระพุทธศาสนา เช่นให้ปลงผม แต่สุดท้ายกลับไม่ปลง ให้พูดกันสื่อสารกันอย่างมนุษย์ "ครูบาน้อย" กลับไม่สื่อสาร แต่เลือกที่จะสมาทานมูควัตรเป็นใบ้อย่างสัตว์ ซึ่งคำสอนนี้มีอยู่ในพระวินัย
ดังนั้นตนคิดว่า นี่เป็นเพียงวินัยเล็กน้อย ของนักธรรมตรี นักธรรมโท ต้องเรียนรู้ ดังนั้น "ครูบาน้อย" เป็นถึงพระมหาจะไม่รู้คำสอนนี้ คงเป็นไปไม่ได้
ส่วนเรื่องนิโรธสมาบัติ หรือการนั่งสมาธิขั้นลึกสุด นายจตุรงค์ บอกว่า ตนไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด แต่ก็มีนักวิชาการหลายท่าน ออกมาบอกแล้วว่าสิ่งที่ "ครูบาน้อย" กระทำนั้น ไม่ใช่การเข้านิโรธสมาบัติแน่นอน