เมื่อวันที่ 6 พ.ค.63 นางฉวีวรรณ คล้ายศรี อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49 หมู่ที่ 1 ต.ต้นโพธิ์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ได้เดินทางมายัง สภ.เมืองสิงห์บุรี เพื่อแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน หลังถูกนายกฤษณะ จาดภักดี อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นลูกเขย ข่มขู่และดุด่า พร้อมยกเลิกสิทธิขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท
นางฉวีวรรณ กล่าว่า ตนมีอาชีพค้าขาย อาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวร่วมกันทั้งหมด ก็คือสามี ซึ่งมีอาชีพเป็นนักแสดงลิเก ลูกสาวและนายกฤษณะ ต่อมาเมื่อรัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียน 5,000 บาท นายกฤษณะ ก็เป็นธุระจัดการลงทะเบียนกรอกข้อมูลให้ทุกคนในบ้าน เนื่องจากตนและสามีไม่มีความรู้เรื่องการลงทะเบียน จนทุกคนได้รับเยียวยาช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทครบหมดทุกคน และเหลือเพียงแต่ตนที่ยังไม่ได้รับ เพราะยังอยู่ในระหว่างรอการตรวจสอบ
ทั้งนี้ตนจึงได้ไหว้วานให้นายกฤษณะ ช่วยยืนยันข้อมูลและลงทะเบียนยืนยันซ้ำไปอีกครั้ง โดยสัญญาว่าหากได้รับเงินช่วยเหลือ จะให้ค่าจ้างนายกฤษณะ เป็นจำนวน 500 บาท ซึ่งนายกฤษณะ ก็ยินดีให้การช่วยเหลือ
ต่อมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลต้นโพธิ์ ได้แจ้งว่าจะให้การช่วยเหลือชาวบ้านในตำบล เป็นจำนวนเงินครอบครัวละ 2,000 บาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ที่มีรายชื่อเป็นเจ้าบ้าน นายกฤษณะซึ่งเป็นลูกเขยทราบข่าว ก็มาขอให้ตนแบ่งเงินที่จะได้รับการช่วยเหลือจาก อบต.ต้นโพธิ์ แต่ตนไม่ยอม ทำให้นายกฤษณะ โมโห ไปดำเนินการยกเลิกสิทธิขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท พร้อมทั้งดุด่าว่าร้ายตน ทำให้ตนต้องมาแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ด้านนายกฤษณะ อายุ 43 ปี ลูกเขย กล่าวว่า ตนเป็นผู้กรอกข้อมูลลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาให้ทุกคนในบ้านจริง แต่ข้อมูลบางส่วนก็คลาดเคลื่อน เมื่อองค์การบริหารส่วนตำบลต้นโพธิ์แจ้งให้เจ้าบ้านไปลงทะเบียนรับเงินเยียวยาอีก 2,000 บาท ตนจึงบอกกับแม่ยายว่า น่าจะแบ่งสรรปันส่วนให้ทุกคนในครอบครัว แต่นางฉวีวรรณกลับตอบว่า เขาให้เฉพาะเจ้าบ้าน ซึ่งตนเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะรายจ่ายในบ้านตนและภรรยาก็ช่วยจ่ายอยู่เป็นประจำ เมื่อได้รับเงินช่วยเหลือก็น่าจะแบ่งกัน ไม่ใช่นำไปใช้จ่ายส่วนตัว
ส่วนกรณีที่ตนไปแจ้งยกเลิกการขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาทของแม่ยายนั้น เป็นเพราะตนกลัวว่าจะมีความผิด เพราะข้อมูลที่แจ้งไปไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 แม่ยายก็ค้าขายอยู่ได้จนทุกวันนี้ แทบจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย
