ความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ
น้องพร (นามสมมติ) หญิงอายุ 32 ปี ชาวจังหวัดเลย ที่ไปหลอกลวงผู้ชายหลายรายแต่งงานก่อนเชิดเงินสินสอดหายไปอย่างลอยนวล วันนี้ (3 ก.ย.) กลุ่มผู้เสียหายได้รวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีก่อนเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่กองปราบฯ
โดยหนึ่งในผู้เสียหาย คุ
ณวิพล โพธิ์สุวรรณ บอกว่า ตนในฐานะคนแรกที่ออกมาตีแผ่เรื่องนี้ก็มีทั้งความสบายใจและกังวลใจปะปนกันอยู่ เพราะตอนนี้ก็ยังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีของคุณพ่อ จึงตั้งใจที่จะออกมาเผยแพร่เรื่องของน้องพรให้ถึงที่สุด เพื่อเตือนภัยให้สังคมได้รับรู้ ตอนนี้รวบรวมผู้เสียหายได้แล้วกว่า 10 ราย ทุกคนยืนยันรูปแบบในการพูดคุยว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ทำให้เชื่อใจและชวนร่วมลงทุน ก่อนหนีหายไป ตอนนี้ก็คาดหวังว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถติดตามตัวน้องพรมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ และยังแอบหวังว่าจะได้เงินที่ถูกหลอกไปคืนด้วย เพราะหลายคนตอนนี้ก็ต้องมาแบกรับใช้หนี้ที่กู้ยืมมาลงทุนกับน้องพร
ทั้งนี้ เตรียมแจ้งความเอาผิดกับพ่อแม่ของน้องพรด้วย เพราะเชื่อว่ารู้เห็นกับลูกสาว คือ มาร่วมงานแต่งทุกครั้ง และน้องพรมักจะอ้างว่าพ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเธอ ซึ่งก็รวมถึงเงินค่าสินสอดด้วย พวกเขาจึงเชื่อว่าพฤติกรรมหลอกลวงแบบนี้
“ทำร่วมกันเป็นขบวนการ”
อย่างไรก็ตาม หวังว่า น้องพรจะสามารถหยุดพฤติกรรมหลอกลวงนี้ได้ เพราะผลกระทบนั้นหนักมากจริงๆ บางคนต้องหมดอนาคตจากการรู้จักน้องพร ซึ่งเป็นไปได้อยากให้มามอบตัวกับตำรวจด้วย หากมั่นว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ
ขณะที่
คุณไพรัตน์ พึ่งสุข อายุ 28 ปี บอกว่า รู้จักกับน้องพร ทางเฟซบุ๊ก โดยน้องพรเป็นคนทักมาซึ่งการพูดคุยส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวหนุ่มสาวที่ทักทายกันตามปกติ น้องพรก็มักจะส่งรูปเกี่ยวกับการทำธุรกิจของเธอ คือ ค้าขายผลไม้ที่ตลาดไท จ.ปทุมธานีมาให้ดูเป็นประจำ ตอนนั้นก็เริ่มมีความรู้สึกชื่นชม และชอบเป็นอย่างมาก จนอยากออกจากงานประจำที่ทำอยู่ คือขับรถส่งของที่ จ.สมุทรสาคร มาร่วมทำธุรกิจด้วย เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน
คุณไพรัตน์ บอกอีกว่า
“น้องพรยื่นข้อเสนอให้ต้องแต่งงานกันก่อนร่วมทำธุรกิจ เพราะเป็นธรรมเนียมของที่บ้าน คือ หากไม่ได้แต่งงานจะทำมาหากินด้วยกันไม่ได้” ตอนนั้นคุณไพรัตน์ก็เชื่อหมดใจ ยอมพาไปแนะนำกับที่บ้าน แม้จะคบได้เพียง 1 เดือน และคุณพ่อคุณแม่จะสงสัยในประวัติของว่าที่ลูกสะใภ้ แต่เมื่อลูกชายมั่นใจก็ต้องเตรียมเงินสินสอดกว่า 180,000 บาทมาให้ โดยมีโอกาสเจอคุณพ่อคุณแม่ของน้องพรอย่างพร้อมหน้าด้วย
แต่งงานได้เพียง 1 วัน น้องพรบอกให้คุณไพรัตน์ ย้ายกลับอยู่ที่บ้าน เพราะเธอต้องไปจัดการซื้อผลไม้ที่จังหวัดจันทบุรี และคุณไพรัตน์ก็ต้องคอยรับผลไม้ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งต้องช่วยกันดูแล คุณไพรัตน์ก็เชื่อ แต่ความจริงก็เริ่มปรากฏเมื่อน้องพรเริ่มมีปัญหากับพี่สาวจากกรณีชักชวนไปลงทุน และบอกให้คุณไพรัตน์นำรถกระบะโตโยต้าสีดำไปส่งให้เธอที่จังหวัดระยอง แล้วก็เริ่มบ่ายเบี่ยงจะไม่อยากเจอคุณไพรัตน์ในอีก 2 เดือนต่อมา ก่อนจะเริ่มบล็อกเบอร์ บล็อกช่องทางการติดต่อสื่อสารทุกอย่าง แม้จะพยายามติดต่อแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน จนที่สุดมาเจอว่ามีคนประกาศตามหาตัว พร้อมระบุว่า "น้องพรคือมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไป" จึงมั่นใจว่าตัวเองถูกหลอกเช่นกัน คุณไพรัตน์กล่าวทิ้งท้ายว่า "เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็อยากให้น้องพรกลับใจ อย่าไปทำอะไรแบบนี้กับคนอื่นอีก"
ขณะที่
น้องไพ (นามสมมติ) อายุ 30 ปี พี่สาวของคุณไพรัตน์ บอกว่า มีโอกาสเจอกับน้องพรครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตอนไปสู่ขอที่บ้านย่านคลอง 3 จ.ปทุมธานี ส่วนตัวยอมรับว่าน้องพรเป็นคนอัธยาศัยดี จนถูกชักชวนเข้าทำธุรกิจค้าผลไม้ร่วมกันที่แผงในตลาด จ.พิษณุโลก และ จ.ร้อยเอ็ด ตอนนั้นคิดว่าอยากมีธุรกิจของครอบครัวจึงตกลงจะเช่าแผงที่ จ.พิษณุโลก ให้น้องชายค้าขายในราคา 1 แสน 2 หมื่นบาท จึงไปกู้ยืมจากที่อื่นมาให้น้องพรวันที่ทำสัญญา (3 มิ.ย. 60) โดยน้องพร ระบุชื่อว่า “น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์” ซึ่งก่อนถึงวันเริ่มค้า ก็ขอน้องพรไปดูแผงที่ตลาด แต่น้องพรอ้างว่าผู้เช่าเก่ายังอยู่ ให้ไปดูพื้นที่โดยรวมก่อน ก็ยังไม่ได้เอะใจสงสัยมาก กระทั่งถึงวันเริ่มเข้าค้าขายก็ยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง น้องพรอ้างว่าแผงถูกเซ้งไปแล้ว เหลือแผงที่ จ.ร้อยเอ็ดเท่านั้น
น้องไพ บอกว่าเริ่มไม่อยากทำแล้ว เพราะไกลบ้านจึงขอยกเลิกสัญญา โดยน้องพรได้ตอบกลับมาว่า น้องไพทำผิดสัญญา จึงยังไม่สามารถคืนเงินได้ทันที จึงขอเวลา 1 เดือนเพื่อนำเงินส่วนนี้มาคืน กระทั่งถึงเวลานัดคืนเงินก็ยังไม่สามารถติดต่อน้องพรได้ เพราะมีปากเสียงกันมาแล้ว น้องพรปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบ จึงทำได้เพียงรอการติดต่อผ่านน้องชาย (คุณไพรัตน์) เท่านั้น จนสุดท้ายต้องนำสัญญาเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ เธอยอมรับทั้งน้ำตาว่า ชื่อ “สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์” ที่ตำรวจค้นประวัติให้นั้น ใบหน้าไม่ตรงกับน้องพรที่เธอรู้จัก เธอร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย และมั่นใจทันทีว่าถูกหลอก ตอนนี้จึงอยากฝากไปถึงน้องพรว่า อย่าทำแบบนี้กับใครอีก เพราะคนที่ถูกน้องพรหลอกไปนั้น ก็ไม่ได้มีฐานะอะไร เงินที่น้องพรได้ไปก็ล้วนแต่กู้ยืมมา และทุกวันนี้ต้องมาแบกภาระใช้หนี้อยู่