2 สาวร้องกระทรวงสาธารณสุข หลัง แพ้ยารุนแรง จนเป็นโรคสตีเวนส์จอห์นสัน ตาหวิดบอด ผิวพุพอง หมอใน รพ.ไม่รับผิดชอบ
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมทีมงาน พาผู้เสียหาย 2 รายเป็นหญิงสาวเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ นายธนกฤต จิตรอารีรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีสาธารณสุข หลังป่วยไปรพ.แล้วเกิดอาการแพ้ยารุนแรง ผิวหนังพุพอง และดวงตามองเห็นไม่ชัด เบื้องต้นหมอวินิจฉัยเป็นโรคสตีเวนส์จอห์นสันซินโดรม เป็นความผิดปกติของผิวหนังและเยื่อเมือกบุผิวชนิดรุนแรง จนส่งผลให้เกิดผลกับกระทบกับการใช้ชีวิต
นายเอกภพ ระบุว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 คน ที่มาวันนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาเอาผิดโรงพยาบาล เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วสิ่งที่อยากได้คือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตา เพื่อมารักษาให้หายปกติ และกลับไปประกอบอาชีพได้ เพราะผู้เสียหายทั้ง 2 คนมีปัญหาเรื่องตามาก คนแรกทำงานไอที วัย 31 ปี ตามองไม่เห็นแล้ว 1ข้าง ส่วนสาวอีกคนอายุ 30 ปี ตามองเห็นแค่ 40%
ส่วนอีกปัญหาคือเรื่องผิวหนังที่อยากให้หมอมาช่วยดูแล เพราะเริ่มเป็นพังผืด และระหว่างที่ทำการรักษา ก็อยากให้โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งมาพูดคุยถึงขั้นตอนเยียวยาการรักษา เพราะหลังออกจากโรงพยาบาลผู้เสียหายทั้ง 2 คน ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ต้องมาทำการรักษาเอง และระหว่างที่เขาไม่สามารถทำงานได้ ทางโรงพยาบาลจะช่วยเหลือเยียวยาอย่างไรได้บ้าง ผู้เสียหายไม่ได้มีเจตนามาเอาเงิน แต่อยากได้รับการช่วยเหลือ
ด้าน สาวไอทีวัย 31 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า เริ่มต้นเกิดเป็นไข้และตาแดงวันที่ 20 มิ.ย. เข้าไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งแรก หมอบอกเป็นต่อมทอมซิลอักเสบก่อนฉีดยาแก้แพ้ แล้วให้กลับบ้าน พอกลับบ้านเริ่มมีไข้หนาวสั่น และมีผื่นขึ้นตามตัว ใบหน้า และปากบวม จึงรอวันถัดไป เพื่อไปฉีดยาที่โรงพยาบาล พอหมอเห็นอาการ ก็บอกว่าผิดปกติ จึงส่งไปหาหมอเฉพาะทาง หมอบอกแพ้ยา แล้วก็แอดมิดวันที่ 21 มิ.ย.จากนั้นก็ยังฉีดยาแก้แพ้ชนิดเดียวกันเป็นเข็มที่ 2 แต่ปรากฎหลังจากฉีดยาตัวนั้น ดวงตาพร่ามัว มองไม่เห็นหนักกว่าเดิม ก่อนโดนส่งตัวเข้าไอซียู รักษาตัว 21-26 มิ.ย.
และตอนนี้ตนเองไม่มีอาการตอบสนองแล้ว จนวันที่ 25-26 มิ.ย. หมอก็แจ้งญาติว่า เป็นสตีเวนส์จอห์นสัน อาการโคม่า แล้วส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งที่สอง ซึ่งโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ใช้วิธีการรักษา คือ ลอกผิวที่ตายแล้ว พันผ้า ห้ามออกแรง โรคพยาบาลที่ 2 แจ้งว่าเสี่ยงตาบอด 80 % ถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดใส่รกที่ตา และตนเองก็อยู่โรงพยาบาลแห่งที่ 2 เป็นเวลา 2 เดือน ก็กลับมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งแรกอีก 3 สัปดาห์ แล้วเพิ่งจะผ่าตัดใส่รกตาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้สิ่งที่ตนเองรู้สึกไม่เป็นธรรม เพราะ โรงพยาบาลแรกลืมส่งตัวไปผ่าตัดโรงพยาบาลที่ 2 และให้ไปซื้อรกตาที่สภากาชาดเอง แล้วรอผ่าตัด ซึ่งพอตนเองไปติดต่อโรงพยาบาลที่ 2 แจ้งว่า ยังไม่ได้รับเรื่องจากโรงพยาบาลแรกส่งมา ทำให้เรารู้สึกกังวล แต่ดัวยความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลที่ 2 ในการไปซื้อรกตาให้ ทำให้ได้รับการผ่าตัด
เจ้าตัว ยอมรับว่า ทุกวันนี้มีผลกระทบชีวิตทุกอย่าง ต้องหยอดตาทุก 1 ชม. และการใช้ชีวิต ต้องมีคนคอยพยุงเดิน ทีวีก็ยังดูไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุดตอนนี้คือเรื่อง ดวงตา เพราะกลัวตาจะบอด และการรักษาโรงพยาบาลก็บอกต้องไปรักษาเอง และมีเรื่องปากที่ปากไม่เท่ากันด้วย ซึ่งก่อนออกจากโรงพยาบาล ตนเองก็แจ้งไปแล้วเพื่อให้หาทางรักษา แต่โรงพยาบาบกลับแจ้งว่า "ให้รักษาตามสิทธิประกันสังคม ไม่ได้รับผิดชอบการรักษาใดๆ"
ส่วนผู้เสียหายอีกรายชื่อ คุณเตย อายุ 30 ปี ซึ่งมีอาการเหมือนกัน แต่รักษากันคนละโรงพยาบาลกับผู้เสียหายรายแรก เล่าให้ฟังว่า ในช่วงเริ่มแรกตนเองที่มีอาการมีไข้สูง วันที่ 30 ก.ค.ไปพบหมอที่โรงพยาบาลแห่งแรก หมอตรวจไข้หวัดใหญ่ไม่พบ ตรวจเลือด ฉีดยา 1 เข็ม และให้ยาฆ่าเชื้อกลับบ้าน คืนนั้นก็กินยาฆ่าเชื้อไป และตื่นเช้ามา ตนเองรู้สึกแสบตาแล้วเจ็บในช่องปาก ก็ทานข้าวทานยาอีก 1 เม็ด พอช่วงสายๆ ตาแดง เจ็บในปาก หน้าแดง มีตุ่มขึ้น ไข้สูง ก็กลับไปหาหมอที่โรงพยาบาลเดิม พอหมอเห็นเรามีตุ่มเลยส่งไปพบแพทย์ผิวหนัง จากนั้นหมอวินิจฉัยว่า ตนเองน่าจะเป็นเริม เลยตรวจปัสสาวะ เจาะน้ำที่ตุ่มในปากไปตรวจก็ไม่พบ ตนเองเลยเลยแจ้งหมอว่า น่าจะแพ้ยาหรือไม่ แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะใช่
จากนั้นพอกลับบ้านอาการออกชัดขึ้นเรื่อยๆ เลยไปพอหมอโรงพยาบาลที่ 2 ซึ่งตอนนั้นไข้สูง หมอวินิจฉัยว่าน่าจะแพ้ยาหรือไม่ ก็เลยแอดมิดที่โรงพยาบาลที่ 2 ซึ่งตนเองได้ติดต่อโรงพยาบาลแรกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับผิดชอบใดๆ ทั้งนี้ยอมรับส่ากรณีที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบการทำงาน และสายตาไม่ได้กลับมา 100% รวมถึงยังเป็นแผลเป็นครึ่งตัว แล้วเดี๋ยวเล็บจะหลุดด้วย
โดยหลังจากที่ นายธนกฤต รับเรื่อง บอกว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 รายมีผลกระทบด้านดวงตา เพราะมีข้อสงสัยยาที่นำไปฉีดว่ามีมาตรฐานหรือไม่ และการรักษาเป็นไปตามเวชปฏิบัติด้วยหรือไม่ ในเวชระเบียนมีการลงรายละเอียดการรักษาไว้อย่างไร รวมถึงมีการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างไร ซึ่งนายธนกฤตได้มอบหมายให้ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯไปตรวจสอบจอประสาทตาโดยเร่งด่วน ว่าจะสามารถกู้กลับมาได้หรือไม่
อีกทั้ง ยังได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสุขภาพ จัดชุดลงพื้นที่ ตรวจสอบโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งที่ผู้เสียหายไปรับการรักษา ร่วมกับ อย.เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ยาว่าได้รับมาตรฐานหรือไม่
ซึ่งกระบวนการรักษาจะต้องตรวจสอบประวัติผู้ป่วยว่าเข้ามารักษาด้วยโรคอะไร จะต้องมีการสอบสวนเกิดขึ้น ส่วนกรณีของการแพ้ยา เป็นเรื่องปกติที่ต้องถูกถาม แต่บางคนก็ไม่เคยแพ้ยามาก่อนก็จะไม่ทราบว่าแพ้ยาอะไร ส่วนกรณีที่เข้าไปรักษาอีกรอบ แล้ววินิจฉัยว่าเป็นอีสุกอีใส ก็ต้องดูทางกายภาพ ในการวินิจฉัย ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรม และจะต้องตรวจสอบว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อหรือไม่ หรือเกิดจากร่างกายผิดปกติ
ดังนั้นวันนี้จะยังไม่ฟันธงว่าเกิดจากการรักษาที่ผิดพลาดหรือไม่ แต่ความจริงต้องปรากฎ จึงจะต้องไปทำการตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย อีกทั้งก็จะให้ความช่วยเหลือข้อกฎหมายว่า เป็นการละเมิดต่อตัวผู้รักษาหรือไม่อย่างไร เพราะเบื้องต้นทางโรงพยาบาลจะต้องรับผิดชอบการรักษาในการเจ็บป่วยของผู้เสียหายทั้ง 2 คน ตามหลักมนุษยธรรม พร้อมยืนยันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้น เกิดจากการรักษาทั้งหมด ดังนั้นหากย้อนกลับไป แม้อาจจะทำเวชปฏิบัติถูกต้อง แต่โรงพยาบาลก็ต้องรับผิดชอบการรักษา มากกว่าสิทธิประกันสังคม และเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเวชระเบียนการรักษาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะหากเปลี่ยนแปลงเวชระเบียนจะมีความผิด ในฐานทำเอกสารเท็จ
ด้านแพทย์หญิงจันทิรา แก้วสัมฤทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยด้านการแพทย์ฉุกเฉินรพ.พระนั่งเกล้า บอกเพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้ป่วยโรคกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน สาเหตุสามารถเกิดจากแพ้ยา หรือเกิดจากเชื้อไวรัส หรือเกิดจากมะเร็ง ซึ่งเป็นได้ทั้ง 3 อย่าง กรณีของผู้เสียหายก็จะต้องตรวจสอบว่า สาเหตุเกิดจากอะไร โดยทางกระทรวงสาธารณะสุขจะดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุด และกรณีแบบนี้มีเกิดขึ้นได้ และเจอได้เรื่อยๆ เพราะแต่ละคนเกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และการติดเชื้อบางอย่างก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้ พร้อมยอมรับว่า การเกิดโรคนี้จะบอกได้ยาก เพราะสาเหตุที่มากระตุ้นต่างกัน ถ้าเกิดขึ้นมาแลัว ต้องรักษาให้ดีที่สุด.