ตำรวจ ปส. รวบ 2 ผู้ต้องหาขาโหดหลบหนีคดีฆ่าเผานั่งยางมาขนยา พร้อมอาวุธปืนและระเบิดมือเพียบ หวิดปะทะ
วันที่ (3 ส.ค.67) เวลา 09.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส.พร้อม พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 ได้เดินทางไปที่ศูนย์ปฏิบัติการยาเสพติดนครราชสีมา อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา เพื่อไปติดตามการปฏิบัติหน้าที่และสอบสวนผู้ต้องหารายสำคัญจำนวน 2 คน ที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ร่วมกันจับกุมได้พร้อมยาเสพติดของกลาง พร้อมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและลูกระเบิดจำนวนมาก
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.67 เวลา 01.45 น. ตำรวจ ได้จับกุม น.ส.ทิวาพร กับพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้า 1,200,000 เม็ด บริเวณหน้าห้องน้ำ ปั๊มน้ำมัน ปตท.แยกพัฒนานิคมขาเข้า ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ก่อนจะสืบสวนขยายผลจากกลุ่มลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว จนพบรถยนต์ต้องสงสัยของกลุ่มเครือข่ายที่อาจใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จึงได้ติดตามสืบสวนและเฝ้าระวังเรื่อยมา กระทั่ง วันที่ 2 ส.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.2 ตรวจพบรถยนต์ทั้งสองคันมีความเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้นที่ จว.เลย พื้นที่ขึ้นยาเสพติดจากฝั่งลาว จึงได้จัดกำลังติดตาม และพบรถวิ่งอยู่บน ถนนสายสระบุรี-หล่มศักดิ์ (ถนนสาย 21) ในพื้นที่ อ.วิเชียรบุรี จว.เพชรบูรณ์ มาถึง อ.ศรีเทพ จว.เพชรบูรณ์ โดยรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 3ฒฬ 86xx กรุงเทพฯ ได้เลี้ยวเข้าไปในใบทองธารารีสอร์ท และจอดบริเวณหน้าห้อง B1 โดยมีรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1กษ 90xx กรุงเทพฯ จอดอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่คนขับรถกระบะจะลงจากรถ และเดินเข้าไปในห้องพัก ตำรวจจึงวางกำลังรอบห้องพัก B1 และแสดงตัวขอตรวจค้น แต่สงสัยทั้งสองไม่ยอมเปิดประตู จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและใช้ยุทธวิธีเพื่อเข้าตรวจค้น จนสามารถควบคุมผู้ต้องหาได้ คือ 1.นายอนุชิต ทำหน้าที่ขับรถนำ
2.นายศักดิ์สิทธิ์ฯ ทำหน้าที่ขับรถกระะบะขนยาเสพติด ตรวจค้นในห้องพัก พบของกลางอาวุธปืนขนาด .45 ในลักษณะพร้อมใช้งาน 2 กระบอก และระเบิดลูกเกลี้ยง M 26 พร้อมใช้งาน 7 ลูก และกระสุน 95 นัด ก่อนจะควบคุมตัวไปตรวจค้นที่รถกระบะ เบื้องต้นพบยาเสพติด เป็นยาบ้า 6,702,400 เม็ด, ยาอี 1,000 เม็ด, Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด, MDMA (หัวเชื้อยาอี) 10 ก้อน น้ำหนักรวม 1,080 เม็ด
เบื้องต้นแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า, ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”
จากการซักถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ ว่าได้ร่วมกับลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เลย ไปส่ง จ.สระบุรี จริง โดยนายอนุชิตฯทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการลำเลียงและขับรถนำทางคอยเฝ้าระวัง และประสานงานกับผู้สั่งการฝั่งลาว ส่วนนายศักดิ์สิทธิ์ฯ มีหน้าที่ขับรถกะบะบรรทุกยาเสพติด
ด้าน นายศักดิ์สิทธิ์ฯ รับว่ารู้จักกับนายอนุชิตฯ จากเพื่อนที่ติดคุกด้วยกันในเรือนจำ และนายอนุชิตฯ ชักชวนมาขนยาเสพติด โดยจะได้รับเงินค่าจ้างจากนายอนุชิตฯ 30,000 บาท ส่วนนายอนุชิตฯ พบว่ามีประวัติโชกโชนทั้งคดียาเสพติดและคดีลักทรัพย์ในพื้นที่ จ.ลพบุรี และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีฆ่าและเผาอำพรางศพ ของ สภ.ชัยบาดาล เหตุเกิดเมื่อ 12 ก.ย.66
จากการซักถามนายอนุชิตฯรับว่าตนได้ก่อเหตุฆ่าจริง ซึ่งมีสาเหตุจากการไปทวงหนี้ค่ายาเสพติดจากผู้ตายให้ผู้ค้าชาวลาว และได้ลงมือฆ่าแล้วเผาด้วยยางรถยนต์ แล้วหลบหนีไปประเทศลาว จนไปรู้จักท้าวเสือ คนลาวซึ่งเป็นผู้สั่งการให้จัดหาทีมงานลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ โดยจะได้ค่าจ้างกระสอบละ 40,000 บาท ครั้งนี้ถ้างานสำเร็จจะได้เงิน 520,000 บาท โดยตนเคยลักลอบลำเลียงให้ท้าวเสือมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งจะแอบข้ามกลับมาประเทศไทยโดยนั่งเรือข้ามมา และนัดหมายพรรคพวกพร้อมรถยนต์มาร่วมกันลำเลียงยาเสพติด ส่วนลูกระเบิดและอาวุธปืนของกลางที่ตรวจพบ นายอนุชิตฯ อ้างว่าซื้อจากฝั่งลาวเพื่อไปขายให้พรรคพวกเป็นรายได้เสริม ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตนได้ยินนายศักดิ์สิทธิ์ฯร้องไห้ตกใจ และเจ้าหน้าที่เข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จึงยังไม่ได้ใช้อาวุธต่อสู้แต่อย่างใด
พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส.เผยว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส.ในการสืบสวนและเฝ้าติดตามกลุ่มเครือข่ายนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่าสองเดือน จนนำมาสู่การจับกุมในครั้งนี้ ในครั้งนี้ผู้ต้องหามีอาวุธและวัตถุระเบิดจำนวนมากมาด้วย แต่เจ้าหน้าที่ของเราไม่ประมาทและได้ใช้ยุทธวิธีในการเข้าจับกุม จึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้โดยไม่เกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต และยาเสพติดของกลางที่พบเป็นยาบ้าจำนวนมากเช่นก่อนหน้า และพบ Erimin 5 จำนวน 1,400 เม็ด ,ยาอี 1,000 เม็ด และก้อนสารMDMA จำนวน 10 ก้อนซึ่งแทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ที่คาดว่าอาจใช้เป็นหัวเชื้อในการผลิตยาอีหรือสารเสพติดรูปแบบใหม่อื่นๆ ซึ่งจะต้องมีการสืบสวนขยายผลถึงวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ต่อไป ตำรวจ ปส.จะยังคงทำงานอย่างเข้มข้นในการสกัดกั้นและทำลายเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป.