“สกาย” เพื่อนเน็ตไอดอลสาวไต้หวัน แฉ 3 ตำรวจ ต้องแอบเก็บเงินไว้สามพัน (คลิป)

1 ก.พ. 66

กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาโพสต์รูปภาพคู่กับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ นายสกาย เพื่อนชายของเน็ตไอดอลสาวชาวไต้หวัน หรือ อันยู่ชิง Charlene ที่ออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่าเป็นคนจ่ายเงินจำนวน 27,000 บาทให้กับตำรวจ สน.ห้วยขวาง ขณะตั้งด่านตรวจ หน้าสถานทูตจีนเมื่อคืนวันที่ 4 ม.ค. 66 โดยนายชูวิทย์ เตรียมนำนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ออกมาแถลงข่าวในเวลา 14.00 น.

642099

ล่าสุด 1 ก.พ. 66 เมื่อเวลา 14.00 น. ที่โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เตรียมแถลงข่าวร่วมกับนายสกาย นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ เพื่อนชายของเน็ตไอดอลสาวชาวไต้หวัน ถือปี๊บมาด้วยพร้อมเคราะตลอดเวลา บอกว่าจะนำปี๊บมาฝากให้กับตำรวจนครบาลไว้คลุมหัว ไปตั้งด่านทำลายภาพพจน์ของประเทศไทย ทำลายนักท่องเที่ยว พร้อมฝากปี๊บให้ ผบช.น. เอาไว้คุมหัวด้วย เพราะสร้างเรื่องหลายเรื่อง ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า "รู้แล้ว ก็เพราะตั้งบ่อนไม่ได้จึงตั้งด่านแทน"

192107

นายชูวิทย์ได้เชิญนายสกาย ชาวสิงค์โปร์มาร่วมแถลงข่าวโดย สกายกล่าวว่า วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันยู่ชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม ประมาณ 10 คน แต่ไปทีหลังจึงได้แค่อวยพรวันเกิดเพื่อน ก่อนแยกตัวมา 4 คน เป็นเพื่อนชายชาวสิงคโปร์ รวมตน 3 คน และอันยู่ชิง เดินทางไปดื่มต่อแถวโรงแรมที่พัก หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแกร็บที่นั่งอยู่

688109

จากนั้น เจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้รถจอดเข้าข้างทางให้ทุกคนในรถลงมา จากนั้นเข้ามมาจับตามตัวค้นกระเป๋า พร้อมให้นำเอกสาร หนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าวตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก มีแต่ถ่ายรูปไว้ในมือถือจึงให้ตำรวจแต่ตำรวจบอกว่าไม่ได้ ต้องใช้ตัวจริง จากการถูกตรวจตามตัว พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ในเหตุการณ์ฝั่งตนมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไทยไม่ได้

203707

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า "อย่ากวน-ีน" ระหว่างที่ตนเองถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะตนเองและเพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน ตำรวจถามหาวีซ่า ตนจึงอธิบายว่าตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงค์โปร์ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า ยกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ส่วนตัวที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 เพื่อจะฉลองเทศกาลปีใหม่ และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 ม.ค. 66 เป็นวันที่กำหนดเดินทางกลับ ส่วนเล่มหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่าเอกสารต่าง ๆ อยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ซึ่งตนมีเพียงรูปถ่ายพาสปอร์ต แต่ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที และต้องเป็นตัวจริง พร้อมห้ามไปไหนและจะพยายามแจ้งว่าการที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด จึงได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าตนและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริงทำไมถึงมีขายได้ทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึดตนก็ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวาง และเห็นคนไทยใช้ตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิด

505547

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าทีโมโห และบอกว่าถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่งทางเจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจ และแจกแจงให้กับตนเองฟังว่าบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่พบพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท อีกทั้งหลังจากจ่ายไปแล้วตนยังแอบเก็บเงินที่ตัวตัวไว้เพียง 3,000 บาท

273263

โดยตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย ตำรวจนายแรก เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมแจ็คเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนพร้อมแอ็คชั่นเดินไปคุยกับหัวหน้า ตำรวจนายที่ 2 รูปร่าง สูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง ตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หนึ่งรายยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อันยู่ชิงถือพร้อมถ่ายภาพ

758569

ทั้งนี้ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน และทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นเร็วรวมถึอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก วันที่เกิดเรื่องตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงินทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด และโมโหมาก ๆ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนขัลบรถออกมาพูด ทั้งที่ได้พยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้วว่าให้โอกาสได้ไหม แต่ตำรวจบอกว่าไม่ได้ ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดตำรวจไม่มีเหตุผลอะไร และบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้ และไม่ได้ทำผิด ใครจะกล้าไป

718062

สำหรับเงินที่จ่ายไปสกาย ยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงินตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาทที่มีและจ่ายไป 27,000 บาท ตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท

722219

ขณะเดียวกันนายชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพ ของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางมาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่าจดจำใครได้บ้าง ซึ่งสกายดูรูปภาพตำรวจแล้วได้พยักหน้าพร้อมกับดูภาพตำรวจทั้ง 2 นาย

ในช่วงท้ายสกายบอกว่าถ้าไม่มีคุณชูวิทย์ ไม่กล้ากลับเข้ามา เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นข่าวแล้ว แต่ถ้าไม่เป็นข่าวก็ยังจะกลับมา เพราะคิดว่าคนไทยดี มีมารยาท ไปเที่ยวก็สนุก อาหารก็อร่อย พร้อมมองคุณชูวิทย์ เป็นฮีโร่ ตอนนี้รู้จักกันและคนนี้คุยง่ายสนุกน่ารัก ก่อนที่นายชูวิทย์จะโค้งเคารพได้ข้อโทษ สกายในฐานะคนไทย ถึงการกระทำตำรวจไทย ก่อนถามสกายว่าจะให้อภัยประเทศไทยไหม สกายบอกว่า วันนี้จบแล้วไม่ได้คิดอะไร และมาพูดความจริง และไม่ได้ทำผิดอะไร ส่วนเงิน 27,000 บาท ก็ไม่อยากได้คืน ก่อนนายชูวิทย์ บอกว่าต้องเอาคืน

483951

ขณะที่พลตำรวจตรีอัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยก่อนประชุมกับทีมพนักงานสอบสวน ชุดคลี่คลายคดี ตำรวจรีดไถเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า หลังได้ข้อมูลจาก นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ในช่วงบ่ายวันนี้ พนักงานสอบสวนจะนำข้อมูลมาประกอบสำนวน เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญามาตร 149 กับตำรวจทั้ง 7 นายจากเดิมที่ ตั้งข้อหามาตรา 157 กับตำรวจเพียง 2 นายประกอบด้วยตำรวจชั้นประทวน 1 นาย และตำรวจชั้นสัญญาบัตรอีก 1 นาย ส่วนที่เหลืออีก 5 นาย อยู่ระหว่างการสอบปากคำ

308419

กระทั่งช่วงเย็นวานนี้มีการตรวจสอบเพิ่มพบว่าตำรวจทั้ง 5 นายที่ปรากฏอยู่ในคลิปมีข้อพิรุธส่งสัยอาจมีส่วนรู้เห็นด้วย จึงจะดำเนินการเอาผิดด้วยทั้งหมด แต่รอผลการสอบสวน นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ในช่วงบ่ายวันนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ส่วนการดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ในฐานะผู้ให้สินบนนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เนื่องจากการจะดำเนินคดีในข้อหานี้ได้ นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ต้องอยู่ในฐานะผู้เสนอให้สินบนเจ้าพนักงาน ไม่ได้ถูกข่มขู่บังคับ

ดังนั้นการสอบปากคำนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ในบ่ายวันนี้จึง สำคัญมากและเป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน โดยทีมสอบสวนได้เตรียมรูปถ่าย ตำรวจชุดตั้งด่านในวันเกิดเหตุทั้ง 14 นาย ให้ผู้เสียหายชี้ใน 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ จ่ายเงินให้กับใคร ใน 14 คนนี้มีใครบังคับขู่เข็นเรียกเงิน และมีใครมีส่วนรู้เห็นจาการรีดรับเงินในครั้งนี้บ้าง

ส่วนกรณีมีกระแสข่าวตำรวจจะเดินทางไปสอบปากคำเน็ตไอดอลสาวที่ประเทศไต้หวันนั้น การจะเดินทางไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการสอบปากคำชาวสิงคโปร์ในช่วงบ่ายหากพบว่า ผู้เสียหายชาวสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท แม้เพียงเดียวก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปสอบสวน เน็ตไอดอลสาว เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียที่หายที่แท้จริง คือนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ แต่หากผลการสอบสวนพบว่าเน็ตไอดอลสาว ร่วมจ่ายเงินด้วยแม้เพียงบาทเดียว ตำรวจก็จำเป็นต้องเดินทางไปสอบคำให้การเน็ตไอดอลสาวไต้หวันด้วย ในฐานะผู้เสียหายร่วม

titled

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามกรณีการโยกย้าย พันตำรวจเอกยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน. ห้วยขวาง ไปเป็นผู้กำกับสน.หนองจอก ใช่บทลงโทษจากกรณีนี้หรือไม่ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ระบุเพียงสั้น ๆ ว่า "ไม่รู้ ทุกอย่างเป็นดุลย์พินิจของผู้บังคับบัญชา"

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส