จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 5.2” ได้ภาพเหตุการณ์ในห้องเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช เป็นช่วงที่นักเรียนชายรายหนึ่งกำลังถูกเพื่อนนักเรียนชายด้วยกันเตะเสยหน้าจนหงานหลัง ท่ามกลางสายตาของเพื่อนนับสิบคนที่ยืนดู และเข้ามาช่วยพยุงร่างของนักเรียนที่ถูกทำร้ายภายหลัง
โดยทางเพจได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองของนักเรียนรายนี้ให้ทางคณะครู โรงเรียนดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้น ระบุข้อความจากผู้ปกครองว่า “ขอความเป็นธรรมให้น้องด้วยค่ะ พอดีน้องเขายุกับพ่อเฒ่าที่พิการ ได้ไปแจ้งความแต่ยังไม่มีคืบหน้า และน้องเขาจำหน้าคนทำไม่ได้ ครูทราบแล้วค่ะ แต่ครูยังไม่ดำเนินการอะไรค่ะ ขอความเป็นธรรมให้น้องด้วยนะคะ คุณครูบอกว่าตอนเช้าได้ทะเลาะไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่คุณครูให้แยกย้ายไปอยู่คนละที่ พอตอนบ่ายวิชาที่ครูสอนครูไม่ได้เข้า เนื่องจากต้องไปสร้างที่พักเพื่อให้เด็กไปเข้าค่ายวันที่ 20 มกราคม 2566
ช่วงที่ไม่มีครู เด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เข้ามาในห้องเอาขวดน้ำเปล่าปาใส่หัวน้อง และมีอีกคนเดินมาเก็บให้เพื่อปาอีกทำ อย่างนี้หลายครั้ง น้องทนความเจ็บไม่ไหวเลยก้มลงต่อยคนที่มาเก็บขวไป 1 ที หลังจากนั้นเพื่อนของคนมาเก็บขวดรอจังหวะอยู่แล้ว ก็เข้ามารุมทำร้ายตามภาพที่เห็นค่ะ วันที่เกิดเหตุเพื่อนจะเข้าไปช่วย..แต่เด็กที่ทำร้ายน้องไม่ให้เข้ามา และยังล้อเลียนเรียกหาพ่อเฒ่าที่ประตูห้องเรียนอีกค่ะ”
ล่าสุดวันที่ 23 ม.ค. 66 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังหมู่ 1 ต.ฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อพูดคุยกับนางพรรัตน์ อายุ 56 ปี ยายของน้องเพชร นักเรียนที่ถูกทำร้าย เล่าให้ฟังว่าปกติแล้วน้องเพชรจะอาศัยอยู่กับตนมาตั้งแต่อายุ 1 ขวบ เพราะพ่อแม่ของน้องแยกทางกัน ต่างก็ไปทำงานต่างจังหวัดทั้งคู่ ปัจจุบันเรียนอยู่ ม.3 อายุ 15 ปี หลานเป็นเด็กที่คิดในแง่บวก สมาธิสั้น ลืมง่าย จึงมีเพื่อนสนิทที่โรงเรียนไม่เยอะ ประมาณ 3 คน แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือวันที่ 18 ม.ค. 66 หลานเล่าให้ฟังว่าขณะนั้นเป็นช่วงเช้า หลานกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องซ้อมละครที่จะใช้แสดงตอนไปเข้าค่ายวันที่ 19-21 ม.ค. ก็มีนักเรียนชาย ม.3 ทราบชื่อน้องจง (นามสมมติ) เดินเข้ามาเตะหลานโดยไม่มีสาเหตุ ครูประจำชั้นที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาแยก ทุกอย่างก็เลยจบไปในช่วงเช้า จนกระทั่งช่วงบ่าย เป็นคาบเรียนที่ครูผู้สอนติดภารกิจ ไม่ได้เข้าสอน ขณะที่หลานนั่งอยู่ในห้องพร้อมกับเพื่อนประมาณ 10 คน น้องจงก็เดินเข้ามาแล้วปาขวดเปล่าใส่หัวของหลาน แล้วก็มีเพื่อนของน้องจงชื่อ น้องกุด (นามสมมติ) วิ่งมาเก็บขวด เพื่อเอากลับไปให้น้องจงปาใส่หลานอีกหลายครั้ง จนทำให้หลานทนไม่ไหว ก็เลยต่อยหน้าน้องกุดไป 1 ครั้ง
หลังจากนั้นน้องจงก็บอกให้นักเรียนคนอื่นออกนอกห้อง แล้วมีรุ่นน้องของน้องจงอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ชื่อน้องโรลล์ เป็นนักเรียนชายชั้น ม.2 เดินเข้ามาเตะหน้าหลานตามที่เห็นในคลิป ซึ่งเป็นคลิปที่เพื่อนของหลานแอบถ่ายไว้ได้ เพราะตอนนั้นเพื่อนของหลานก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าช่วย จึงทำได้แค่ถ่ายคลิปเป็นหลักฐานก่อนจะส่งให้ตนดู หนำซ้ำหลังจากน้องโรลล์เตะหลานเสร็จ ก็มีการท้าทายให้หลานพาตามาที่โรงเรียนด้วย เพราะเขาคงรู้ว่าตาของน้องพิการ เดินไม่ได้ จึงล้อแบบนั้น ทำให้หลานโทรศัพท์มาหาตน บอกว่า "ยายมาโรงเรียนหน่อยได้ไหม น้องมีเรื่อง น้องอยากแจ้งความ"
พอตนไปถึงโรงเรียน หลานก็วิ่งเข้ามาหากตนแล้วร้องไห้ ตัวเกร็ง ปากหลานช้ำเลือด ตนก็เลยพาหลานไปแจ้งความในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แต่กลายเป็นว่าหลานจำชื่อนักเรียนคู่กรณีไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกว่าหลานสมาธิสั้น วันนั้นจึงไม่ได้แจ้งความไว้ ส่วนตัวยอมรับว่าแม้ปัจจุบันสภาพจิตใจของหลานจะกลับสู่สภาวะปกติ ไม่ได้หวาดกลัวหรือระแวงอะไรแล้ว แต่ตัวเองในฐานะยายก็ยังเป็นกังวลมาก เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกับผู้ปกครองของคู่กรณีที่ทำร้ายหลาน ส่วนตัวเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของหลานที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อในระดับชั้น ม.4-ม.6
ทั้งนี้ ตนก็ไม่อยากให้หลานเรียนที่นี่ต่อ เพราะกลัวอันตราย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้หลานหนีไปไหน กลับกันทางโรงเรียนมากกว่าที่ต้องมีการชี้แจงและวางมาตรการไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก ส่วนตัวไม่ได้ติดใจในทางคดี แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์กับโรงเรียนมากกว่า ให้ตระหนักถึงการดูแลนักเรียนมากกว่านี้ ไม่ว่าจะชั่วโมงเรียนหรือชั่วโมงว่าง โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่มีความพิเศษอย่างหลานชายตน ที่มักจะถูกรังแก
นายเลิศชาย ขอจิตต์เมตต์ ผู้อำนวยการโรงเรียน ชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นการปะทะทางอารมณ์ของเด็ก เนื่องจากวันที่เกิดเหตุ ในช่วงเช้ามีการให้นักเรียนสร้างบทบาทสมมติขึ้นมาเอง ตั้งใจให้อิสระในการคิดของนักเรียน เพื่อใช้แสดงละครในวันเข้าค่ายลูกเสือ แล้วนักเรียนทั้ง 2 ฝ่ายอยู่ในกลุ่มที่ต้องแสดงด้วยกัน จึงคาดว่ามีการคิดบทบาทที่ต้องมีปัญหาทะเลาะกัน แต่เมื่อมีการซักซ้อมก็เกิดอินกับบทบาทมากเกินไป จนบานปลายกลายเป็นการปะทะกันนอกบท ซึ่งตอนนั้นครูที่ดูแลก็ได้เข้าห้ามและอธิบายให้นักเรียนทั้ง 2 ฝั่งเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นแค่บทบาทสมมติ ไม่ใช่ชีวิตจริง
เหตุการณ์ก็เหมือนจะจบ แต่พอเข้าช่วงบ่าย เป็นคาบเรียนที่ครูไม่ได้มาสอน ก็กลายเป็นว่ากลุ่มคู่กรณีของน้องเพชร เมื่อช่วงเช้าได้เข้ามาหาเรื่องอีก เหมือนกับยังไม่สามารถออกจากบทบาทได้ ทั้งพฤติกรรมการปาขวดน้ำ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องชกต่อยตามคลิป
และเหตุผลที่น้องโรลล์ เข้ามาเตะน้องเพชร เพราะก่อนที่จะมีการบันทึกคลิป นักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์บางคนบอกว่าน้องเพชรไปต่อยน้องโรลล์ ทั้งที่จริงแล้วน้องโรลล์พยายามจะเข้ามาห้าม หลังจากเห็นว่าน้องเพชรต่อยน้องกุดรอบแรก เพียงแค่ไม่มีคลิปตอนนั้นออกมา ทั้งนี้ คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวกันมาก่อน แต่น้องเพชรเป็นเด็กพิเศษ สมาธิสั้น และมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์ฉุนเฉียว เคยทุ่มเก้าอี้และโต๊ะใส่เพื่อนบ่อยครั้ง ทำให้เพื่อนไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย ส่วนน้องโรลล์ น้องกุด และน้องจง เป็นเด็กปกติทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นักเรียนทั้ง 2 ฝั่งกลับมารักกันดี ปรับความเข้าใจกันได้แล้วเพราะตอนที่ไปเข้าค่ายลูกเสือ เขาก็ทำกิจกรรมร่วมกัน ร่วมแสดงละครกันได้ และในวันพรุ่งนี้ 24 ม.ค. จะมีการเชิญผู้ปกครองของทั้ง 2 ฝั่งมารับทราบและร่วมกันหาทางออก บวกกับทางโรงเรียนจะมีมาตรการให้ครูผู้สอนเข้มงวดในการดูแลนักเรียนมากขึ้น ทั้งชั่วโมงเรียนและชั่วโมงว่าง
นางทองสี ขุนทอง อายุ 65 ปี ยายของน้องโรลล์ เล่าให้ฟังว่าตนดูแลเลี้ยงดูหลานมาตั้งแต่อายุประมาณ 7 ขวบ เนื่องจากพ่อแม่ของหลานแยกทางกันและไม่ได้กลับมาดูแลอีกเลย ยืนยันว่าน้องโรลล์เป็นเด็กดี ไม่ก้าวร้าว ไม่เคยมีปัญหาชกต่อยกับใคร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย หากทำผิดหรืออารมณ์เสียก็สามารถพูดคุยตักเตือนได้ ไม่เถียง และปกติหลานจะรับจ้างกรีดยางตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน เพื่อนำเงินไปใช้ที่โรงเรียนเอง หากวันไหนเหลือก็จะนำกลับมาให้ตน เอาไว้ใช้ซื้อข้าวสารหุงกินกันที่บ้าน
ส่วนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลานเล่าให้ฟังว่า เพราะไปเห็นน้องเพชรกำลังทะเลาะกับนายกุด และนายจงก็เลยพยายามจะเข้าไปห้าม แต่กลับโดนน้องเพชรต่อย เนื่องจากไม่พอใจที่หลานเข้าไปยุ่ง หลานก็เลยเตะกลับ แต่คนที่ถ่ายคลิปไว้ ถ่ายได้แค่ตอนที่หลานเตะอย่างเดียว แล้วหลังจากเกิดเหตุ หลานกลับมาบ้าน ก็บอกกับตนว่าหากครูโทรมาเรียกให้ไปประชุม ก็ขอให้ไป เพราะเขาก็ยอมรับว่าไปเตะเพื่อนมาจริง ๆ ดังนั้นตนยินดีมากหากทางโรงเรียนจะเรียกตนไปรับทราบและพูดคุยกับผู้ปกครองของน้องเพชร ที่เป็นคู่กรณี เพื่อจะได้เคลียร์กันให้จบ เพราะเด็กยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันต่อไป
