"ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" ปิดฉาก 36 ปี กับ ปชป. ขอมีลมหายใจของตัวเอง

27 ต.ค. 65

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าการลาออกครั้งนี้ อาจเพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส.หลายสมัย ได้ให้เลขานุการส่วนตัวยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ เพื่อขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ต่อเจ้าหน้าที่พรรค ปชป. ที่สำนักงานใหญ่พรรค ท่ามกลางกระแสข่าวว่าการลาออกครั้งนี้ อาจเพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

ขณะที่เพจเฟซบุ๊กของนายไตรรงค์ ได้มีการโพสต์ข้อความถึงการลาออก โดยระบุว่า #ผมขอมีลมหายใจเป็นของตนเอง #ใส่เสื้อฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย #36ปีกับพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อ 15:00 น. ของวันนี้ (27 ตุลาคม 2565) ผมได้ให้เลขาส่วนตัวไป #ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์แล้วครับ

ผมลาออก #ทั้งๆที่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์อยู่ แต่ผมไม่ได้รักที่ตัวตึก หรือตัวบุคคล ผมไม่เคยยึดมั่นในสิ่งลวงตาเหล่านั้นที่ผมรักก็คือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” ที่ได้ประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรคเมื่อปี พ.ศ.2489 จึงได้เข้าเป็นสมาชิกมาตลอดเวลา 38ปี

อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย อุดมการณ์ ปี 2489 ทั้ง 10 ข้อ จึงต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคให้เข้ากับบริบทใหม่ๆของประเทศและของโลก ที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อล้อมกรอบมิให้ผู้บริหารหรือสมาชิกแสดงท่าทีที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในอุดมการณ์ เช่นต้องไม่มีใครมีท่าทีทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าพรรคฯตั้งตัวเป็นศัตรูกับทหารของชาติ เพราะทหารในปัจจุบันแตกต่างไม่เหมือนกับทหารสมัยก่อนแล้ว ส่วนศัตรูของอุดมการณ์ต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่าไม่ใช่เฉพาะเผด็จการทหาร แต่หมายรวมถึงเผด็จการรัฐสภาด้วย และในนโยบายต่างประเทศต้องเขียนใหม่ให้ชัดว่าเราจะเป็นมิตรกับทุกประเทศ แม้ว่าระบอบการเมืองการปกครองจะแตกต่างจากของของเราที่กำลังใช้อยู่ เป็นต้น แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อธิปไตยของชาติต้องถูกครอบงำโดยประเทศอื่นอย่างเด็ดขาด ซึ่งทั้งหมดนี้ผมได้พูดให้สมาชิกและผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ฟังโดยละเอียดแล้วเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2565 ที่โรงแรม Kantary Hill จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพรรคฯ ก็ได้พยายามปรับปรุงจุดยืนและท่าทีคล้ายๆอย่างที่ผมเคยแนะนำไว้อยู่บ้าง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคประชาธิปัตย์

แต่ก็ยังมีพรรคการเมืองอื่น ๆ อีกหลายพรรคที่มีจุดยืนด้านอุดมการณ์ที่ตรงกับใจของผม ที่ผมอยากสนับสนุนโดยเฉพาะมีอยู่หลายพรรค ที่เกิดใหม่จากคนที่ต้องออกจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถจะบอกใครได้ (เพราะเกรงใจกัน) แต่เมื่อไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา ก็ได้มีการประกาศจุดยืนแห่งอุดมการณ์พร้อมมีนโยบายปฏิรูปหลายประการเหล่านี้ทำให้ผมเห็นด้วยและอยากสนับสนุน

ผมจึง #อยากขอโอกาสมีลมหายใจเป็นของตนเองสักครั้งหนึ่งในบั้นปลายชีวิตทางการเมืองของผม เพื่อจะได้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ ๆ (ที่ใหม่กว่าพรรคประชาธิปัตย์) การแสดงออกจะได้สามารถทำได้อย่างเปิดเผย จะได้ไม่รู้สึกว่าผมแอบเป็นกบฏลับ ๆ ต่อพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผมยังรักและสนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปัตย์ แต่ก็จะสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น ๆ ทุกพรรคที่ผมเห็นด้วยกับอุดมการณ์และนโยบาย จะยินดีให้ความช่วยเหลือตามที่ถูกร้องขอ โดยไม่หวังผลอะไรเป็นการตอบแทนใดๆทั้งสิ้นเพราะว่าแก่แล้ว

#หมายเหตุ จนถึงปัจจุบันนี้ได้มีพรรคการเมืองใหม่ๆมาขอคำปรึกษาไปแล้วถึง 5 พรรคครับ

ส่วนการสนับสนุนช่วยเหลือหลายๆพรรคควรจะทำอย่างไรนั้น มันเป็นศิลปะที่ผมเรียนรู้มาและจะลองนำมาปฏิบัติดูในรูปแบบที่ว่า #ต้องรวมมิตรและแยกศัตรูในเชิงอุดมการณ์ให้ชัดเจน ถ้าได้ผลก็ดีถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรเพราะผมยึดถือคำว่า #สันโดษ ตามภาษาพระที่สันโดษแปลว่าได้ก็ดีไม่ได้ก็ได้ (ไม่ใช่ตามภาษาคนที่หมายถึงการอยู่คนเดียว) และผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆคนหนึ่ง จึงไม่คิดว่าทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเสียหาย เพราะพรรคฯเขามีบุคลากรมากอยู่แล้ว ส่วนมากก็มีความสามารถตามความเห็นของผู้บริหาร และผมก็ไม่เคยจะทำร้ายพรรคฯ หรือพูดจาใดๆ ให้พรรคฯต้องเสียหายและเสียน้ำใจกัน

อย่างไรก็ดีผมก็ยังคงต่อต้านและปฏิเสธทั้งพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ใช้โวหารแบบปลิ้นปล้อน โกหกตอแหล ใส่ความ หลอกลวง หน้าอย่างหลังอย่างเป็นพวกเล่นการเมือง เพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ของชาติที่ควรจะเป็นผลประโยชน์สูงสุด เพราะผมเห็นว่า คนเช่นนี้ลงมาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก โดยการอ้างชาติและประชาธิปไตยเพื่อเป็นการบังหน้าและให้ประชาชนหลงผิดในสาระสำคัญเท่านั้น

โดยเนื้อแท้แล้วคนเช่นนี้ เป็นพวกที่พร้อมจะขายชาติเพื่อแลกเงิน พร้อมจะทำลายและบิดเบือนคำสอนอันเป็นหัวใจของศาสนาต่างๆเพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากคนที่โง่ๆ ตลอดจนเป็นพวกที่พร้อมจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ (ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง) เพื่อเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองของประเทศให้เป็นระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งเป็นระบบที่แสนจะไม่เหมาะกับบริบทและประวัติศาสตร์ของชาติไทยหากแต่จะนำมาซึ่งความแตกแยกที่รุนแรง ศีลธรรมจะตกต่ำการไร้ยางอายในการทำชั่วจะมีมากขึ้นเหมือนอย่างหลายประเทศทั้งในเอเชียและในละตินอเมริกา

เพราะผมเห็นว่า #อธิปไตยและเอกราชของชาติอาจจะเกิดความเสียหายได้ ถ้าประเทศต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของนักการเมืองที่มีคุณสมบัติเลวๆดังกล่าวข้างต้น ก็โดยที่นักการเมืองอย่างนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ลาภ (เงิน) ยศ และสรรเสริญของตนเองและพรรคพวกมากกว่าเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ที่พูดเช่นนี้ ก็เพราะได้เห็นตัวอย่างมาแล้วว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้เคยแอบทำการตกลงลับๆที่จะอนุญาตให้มหาอำนาจบางประเทศ มาตั้งฐานทัพในประเทศ เพื่อจะได้สะสมอาวุธไว้ข่มขู่บางประเทศที่พวกเขาแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในการเป็นเจ้าโลกกันอยู่ในปัจจุบันนี้

โชคดีที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์มีคณะองคมนตรีและมีสถาบันกองทัพทั้ง 3 เหล่าเป็นเกราะกำบังให้ ประเทศของเราจึงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนประเทศยูเครนอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน

ปล. ผู้ที่แอบทำความตกลงลับ ๆ (MOU) ดังกล่าวบางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว ขอให้ทุกคนจงอโหสิ เพราะไม่มี “ทาน” ใด ๆ จะได้บุญเท่ากับ “อภัยทาน” …ผมไม่ได้พูดแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ตรัสไว้เช่นนั้นครับ

#หมายเหตุ ผมยังคงเป็นมิตรที่ดีของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เฉพาะที่เป็นคนดีอยู่เหมือนเดิมทุกประการโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ แต่ขอให้ทุกคนโปรดทราบเจตนาบริสุทธิ์ของผมว่าการลาออกในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประสานกับพรรคการเมืองอื่น ๆ จะได้มีพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการเคลื่อนไหวแบบเงียบๆ เพื่อจะได้ตะล่อมให้บ้านเมืองเดินหน้าไปในทิศทางที่ผมเห็นว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด โดยที่ผมไม่หวังอะไรเป็นการตอบแทนโดยส่วนตัวเลยไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดๆ ซึ่งผมเคยแจ้งความในใจส่วนนี้ให้คุณจุรินทร์ หัวหน้าพรรค และคุณนิพนธ์ รองหัวหน้าพรรค ทราบแล้ว เมื่อตอนที่ท่านทั้งสองมาเยี่ยมผมที่บ้านพักหลังการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสงขลาและชุมพรครับ

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส