พ่อค้าไก่ย่างส้มตำ แพะคดีวิ่งราวแหวนเพชร ร้องผบช.ก.เอาผิด ตร. หลังติดคุกฟรี 7 เดือน

3 ต.ค. 65

พ่อค้าไก่ย่างส้มตำ ผู้ต้องหาแพะคดีวิ่งราวแหวนเพชร 15.8  ล้าน ร้อง ผบช.ก.เอาผิดตำรวจบางเสาธง หลังติดคุกฟรี 7 เดือน 10 วัน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 ต.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน กทม. นายพิสิษฐ์ (สงวนนามสกุล) พ่อค้าไก่ย่างส้มตำ อายุ 54 ปี  เดินทางเข้า ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ต่อ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.โดยมี พงส.บก.ปปป.เป็นผู้รับแทน กรณีที่ถูกตำรวจ สน.บางเสาธง ยัดข้อหาชิงทรัพย์ จนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีเป็นแพะติดคุกอยู่นาน 7 เดือน 10 วัน ทั้งที่ไม่ได้กระทำความผิด ก่อนศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้อง อัยการและโจทก์ร่วมไม่ฎีกา

นายพิสิษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2559 เวลากลางวัน ที่หมู่บ้านนิศาชล ซอย 6 แขวงคลองขวาง เขตภาษีเจริญ กทม.เกิดเหตุวิ่งราว แหวนเพชร 3 วง และเพชรแฟนชี 17.34 กะรัต 1 เม็ด มูลค่ารวม15.8 ล้านบาทเศษ มีบริษัทอัญมณีแห่งหนึ่ง และน.ส.บุญญรัตน์ แม่ค้าขายเพชรเป็นผู้เสียหาย 

โดยวันเกิดเหตุ น.ส.บุญญรัตน์ แม่ค้าขายเพชร ได้รับการติดต่อซื้อเพชรจากลูกค้า นัดหมายที่บ้านดังกล่าว เมื่อนำแหวนและเพชรทั้งหมดเปิดให้ดู ลูกค้าได้หยิบถาดแหวนเพชรแล้ววิ่งหลบหนีออกจากบ้านพร้อมปิดล็อคประตูบ้าน กักขังผู้แจ้งไว้ภายในจนต้องปีนรั้วออกมาแจ้งความชุดสืบสวนสอบสวนได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

หลังจากนั้นตำรวจ สน.บางเสาธง ชุดสืบสวนจับกุมเร่งรัดรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออหมายจับผู้ต้องหาชื่อ นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ ชื่อเล่น แดง

ต่อมา ก.พ.2560 มีตำรวจจะมาจับกุมตนที่บ้านเช่าในจังหวัดนครพนม ขณะกำลังขายไก่ย่างส้มตำอยู่ โดยใช้หมายจับเก่า สภ.สูงเนินข้อหาฉ้อโกง ซึ่งตนไม่ทราบมาก่อนว่าตนมีหมายจับดังกล่าว ก่อนจะควบคุมตัวมาดำเนินคดีข้อหาวิ่งราวทรัพย์ตามหมายจับของศาลอาญาธนบุรี ตนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลอาญาธนบุรี ซึ่งตนถูกขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี ระหว่างการพิจารณาคดีเป็นเวลา 7 เดือน 10 วัน จนกระทั่งศาลอาญาธนบุรีพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 จึงปล่อยตัวสู่อิสรภาพ

ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2561 และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2561 จากนั้นฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้ขอยื่นฎีกา

เม.ย.2560 ตนจึงเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องฝ่ายบริษัทอัญมณี และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาแจ้งความเท็จ

จนเมื่อ 20 ม.ค.2565 ศาลอาญาธนบุรี พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ถูกยื่นฟ้อง ซึ่งแม้คดีนี้ที่สุดแล้วตนเองจะได้เงินเยียวยาจากกระทรวงยุติธรรมมา 2 แสนบาท แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความเสียหายทั้งชื่อเสียงตัวเองและวงศ์ตระกูล

วันนี้ (3 ต.ค.65) จึงมาร้องขอความเป็นธรรม ผบช.ก.ในความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สน.บางเสาธง ซึ่งทำคดีนี้ในตอนนั้น ที่ปรักปรำให้ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยมีพยานหลักฐานเป็นเพียงภาพถ่ายและซิมโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนของตนเองเท่านั้น ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่าซิมดังกล่าวมีการลงทะเบียนตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งยังมีพยานบุคคลยืนยันว่าตนเองเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลและไม่ได้รู้เห็นหรือรู้จักเครื่องเพชรดังกล่าวมาก่อน

"หลังจากนี้ผมจะเดินทางไปยื่นร้อง ผบ.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ผบช.น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เย็นจะกลับบ้านพักที่สระบุรี  ตอนนี้ผมไม่ได้ขายไก่ย่างส้มตำแล้ว  มีแต่ภรรยาทำเสริมสวยเป็นรายได้หลักหาเงินเลี้ยงครอบครัว ลูกคนเดียวอายุ 18 ย่าง 19 ปี ก็ต้องหยุดเรียนให้พักไว้ก่อน กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย  ทั้งครอบครัวได้รับผลกระทบกันหมด เพราะผมต้องมาถูกดำเนินคดี รายได้ก็ขาดไป แถมต้องไปหยิบยืมเงินญาติพี่น้องมาสู้คดีเป็นหนี้ 5-6 แสนบาท แม้จะได้เงินเยียวยาจากการตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมมาเกือบ 2 แสนบาทก็ต้องเอาไปใช้หนี้  และยังเหลือหนี้สินอีกจำนวนมาก" นายพิสิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้นายพิสิษฐ์ เรียกร้องให้ตำรวจชุดจับกุมจริงจังกับการทำงานมากกว่านี้ จะได้ไม่ทำงานผิดพลาดอีก เพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาตกเป็นแพะแบบตน หน้าที่ใครหน้าที่มันรับผิดชอบให้เต็มที่ การจับคนผิดมาดำเนินคดีคนที่ถูกกล่าวหาเขาลำบาก เป็นเรื่องเป็นราวไม่มีใครอยากเป็น ถ้าจับถูกตัวก็ไปอย่าง แต่จับผิดตัวแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความทุกข์ทรมานของคนที่ตกเป็นแพะ รายได้ก็ไม่มีอยู่แล้ว ต้องมาเจอคดีแบบนี้เข้าไปซ้ำอีก

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวน บก.ปปป.แจ้งว่าขอเวลา 30 วัน เพื่อตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ก่อนจะแจ้งความคืบหน้าให้ผู้เสียหายทราบ

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส