ระทึก แม่บุกชิงลูกอ้างแม่ผัวกีดกัน คดีพลิกผัวลากไส้นักการเมืองแชตสยิวทำบ้านแตก (คลิป)

28 ก.ย. 65

วันนี้ 28 ก.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้รับเรื่องร้องเรียนจากแม่ ซึ่งเป็นหญิงสาวชาวไทยม้งรายหนึ่งทราบชื่อ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี เป็นชาว จ.เพชรบูรณ์ โดยเจ้าตัวส่งคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงกลางคืนวันที่ 9 ก.ย. 65 ขณะที่ตนกำลังจะเข้าไปพบลูกชาย 2 คน น้องเชอร์ (นามสมมติ) อายุ 5 ขวบ และ น้องเพลง (นามสมมติ) อายุ 7 ขวบ ซึ่งอยู่ภายในบ้านของแม่สามีที่เลิกรากันไปแล้ว ที่ ต.แม่ขะนิง อ.เวียงสา จ.น่าน แต่กลับโดนแม่สามีกีดกันไม่ให้เข้าใกล้ลูกพยายามจะปิดประตูบ้าน จนทำให้มีการฉุดกระชากลากดึงกัน

554720

จากนั้นแม่สามีก็รีบเข้าบ้านเพื่อพาเด็ก 2 คน หลบหน้าแม่เด็ก แต่ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ไม่ยอมอยากเจอหน้าลูกด้วยความคิดถึง จึงเดินปรี่เข้าไปหาลูก แล้วก็ยังถูกแม่สามีกางแขนกันไว้อีก แม่เด็กก็ปัดมือของแม่สามีออก จนแม่สามีเหมือนจะใช้มือทุบเข้าไปที่หน้าของแม่เด็กหรือ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) 1 ครั้ง ทำให้เธอต้องสวนกลับด้วยการใช้มือฟาดไปที่หน้าอกของแม่สามีจนเซไปพร้อมกับลูกชายวัย 5 ขวบ ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดกับพี่ชายวัย 7 ขวบ

จากนั้นทั้งคู่ก็พยายามยื้อแย่งกันไปมา เพราะต่างก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยให้เด็กไปอยู่กับอีกฝ่าย จนกระทั่ง น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) สามารถพาลูกชายวัย 7 ขวบ ออกมาที่หน้าประตูได้ แต่ขณะที่กำลังแย่งลูกชายวัย 5 ขวบ ก็มีอาผู้หญิงของสามีเข้ามาช่วยแย่งลูกชายวัย 5 ขวบ ออกมาด้วย

825994

น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) เปิดใจเล่าเรื่องราวของเธอกับอมรินทร์ทีวี ทั้งน้ำตาว่าตนกับสามีชื่อ นายมอส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี เป็นชาวไทยม้งเหมือนกัน แต่งงานกันตามประเพณีชาวบ้านเมื่อตอนงานส่งท้ายปี 58 ไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรส แต่ตนก็ย้ายจากบ้าน จ.เพชรบูรณ์ เข้ามาอยู่ที่บ้านสามีใน จ.น่าน ตั้งแต่นั้น

278010

จากนั้นก็มีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมากนัก ช่วง ต.ค. 60 สามีจึงไปทำงานที่ประเทศเกาหลี จนถึงปัจจุบันก็รวมแล้ว 5 ปี ไม่ได้กลับมาบ้านที่ประเทศไทยเลย และไม่มีการส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรมาให้ตนด้วย ทำให้ที่ผ่านมาตนได้รับความลำบาก ต้องหอบลูก 2 คน กลับไปหาพ่อแม่ที่ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อให้ช่วยเลี้ยงลูกหลายครั้ง

เมื่อกลางปี 63 ตนพาลูก 2 คน กลับบ้าน แต่แม่สามีก็เข้ามาขอโทษตน พยายามตามตนกับลูกให้กลับไปอยู่ที่บ้าน จ.น่าน ตลอด โดยอ้างว่าจะช่วยคุยกับสามีให้กลับมาประเทศไทย เพื่อช่วยกันเลี้ยงดูลูกแต่สามีก็บ่ายเบี่ยง บอกว่าไม่สามารถเดินทางกลับได้เพราะสถานการณ์โควิด-19 ตนจึงยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าตนพาลูกกลับไปครั้งนี้ จะให้โอกาสอยู่จนถึงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ปี 64 ถ้าสามียังไม่กลับมาครอบครัวสามีต้องชำระเงินค่าผิดสัญญาให้กับตน 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูบุตร โดยให้ญาติผู้ใหญ่ของสามีเป็นพยาน ซึ่งตอนนั้นทางสามีและครอบครัวก็ยินดี

960109

แต่พอถึงช่วงปี 64 กลายเป็นว่าสามีก็ไม่ได้กลับมาตามสัญญา ตอนนั้นตนก็ทะเลาะกับสามีเรื่องนี้ด้วย บวกกับทราบมาว่าสามีก็ไปมีแฟนใหม่อยู่ที่เกาหลีเหมือนกัน จึงตั้งใจจะพาลูกกลับบ้านที่ จ.เพชรบูรณ์ แต่แม่สามีไม่ยอมจึงมีการยื้อแย่งลูกกันไปรอบหนึ่ง ด้วยความที่ตนตัวคนเดียวไม่ได้ถ่ายคลิปอะไรไว้ จึงไม่สามารถพาลูกกลับบ้านได้ ตนจึงกลับไปปรึกษากับพ่อแม่ที่บ้าน จ.เพชรบูรณ์ ถึงได้มีการติดต่อคุยกันทางโทรศัพท์ เพื่อจะให้ครอบครัวของสามีเข้ามาเจรจาหาข้อตกลง แต่ครั้งนั้นตนรออยู่ประมาณครึ่งเดือน ก็ไม่มีใครเข้ามาที่บ้าน ตนจึงมั่นใจว่าครั้งก่อน ๆ ที่แม่สามีมาที่บ้านก็เพราะต้องการลูก 2 คน ไม่ได้เป็นห่วงหรือต้องการตนเลยสักนิด

จากนั้นวันที่ 19 ม.ค. 64 ตนจึงเดินทางไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ว่าต้องการจะเลิกราและไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับกับสามีหรือ “นายมอส” อีกต่อไป แล้วตนก็ส่งเอกสารแจ้งความนี้ไปให้แม่สามีดูด้วย แต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ ไม่เอาลูกมาคืนตน ตนกับสามีก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

กระทั่งปลายเดือน ม.ค. 64 ตนออกมาทำงานที่ อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อหาเงินส่งเงินเลี้ยงดูลูก 2 คน แล้วจู่ ๆ พี่สาวของสามีก็ติดต่อมาหาตนเพื่อจะเข้ามาเอาเอกสารหนี้ กยศ. ของสามีเพื่อไปชำระหนี้ให้ ซึ่งตนก็รู้สึกน้อยใจว่าทำไมถึงไม่ยอมติดต่อตนโดยตรง ทั้ง ๆ ที่เคยเป็นสามีภรรยากัน ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือส่วนนี้ได้ ตนจึงเอาเรื่องนี้ไปบอกกับแม่สามี แต่ก็กลับโดนแม่สามีตำหนิกลับว่าตนจ้องแต่จะจับผิดลูกชายเขาหรือสามีของตน แถมยังด่าตนว่า “ไอหน้าหมา” พร้อมท้าทุบตี้กับตนอีกด้วย ในขณะที่พ่อสามีและญาติพี่น้องคนอื่นเห็นด้วยกับตนว่าสิ่งที่สามีทำมันก็ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ บวกกับตอนนั้นได้โทรเฟซบุ๊กไปหาสามีเพื่อบอกว่าจะเข้าไปเยี่ยมลูกที่ จ.น่าน ซึ่งสามีก็ยินดีบอกว่าหากจะเข้าไปนอนกับลูก 2-3 วันก็ได้ไม่ว่าอะไร

641502

ตนจึงประสานไปยังพี่ชายของสามีที่มีบ้านอยู่บ้านใกล้แม่สามี เพื่อให้เกลี้ยกล่อมแม่สามีเปิดโอกาสให้ตนได้พบลูก เกรงว่าหากเข้าไปแล้วจะถูกกีดกันเหมือนครั้งก่อน แล้วระยะทางจาก จ.เชียงราย ไปหมู่บ้านของแม่สามีที่ จ.น่าน ก็ไกลและเดินทางลำบาก ตอนนั้นพี่ชายของสามีก็ตอบรับ ให้ตนเดินทางไปได้ แต่ขอไม่ให้พาลูกกลับ พอตนไปถึงตอนแรกสถานการณ์ก็ปกติ พี่ชายของสามีสามารถพาลูกชายตน 2 คน มาเจอที่งานวัดในตัวเมือง จ.น่าน ได้ แต่พอเที่ยวกันเสร็จก็พากันกลับบ้าน คืนนั้นตนอยากนอนกับลูกที่บ้านพี่ชายของสามี แต่แม่สามีไม่ยอม เหตุการณ์จึงเป็นไปตามคลิป แล้วสุดท้ายคืนนั้นญาติพี่น้องของสามีก็ช่วยเกลี้ยกล่อมจนแม่สามียอมให้ตนได้นอนกับลูกชาย 2 คน เป็นระยะเวลา 2 คืนคือวันที่ 9 และ 10 ก.ย. 65

นอกจากนี้ตอนนั้น น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ยังบอกอีกว่า ตนถูกแม่สามีตำหนิด้วยถ้อยคำแสนเจ็บปวดด้วยว่า “เธอมีปัญหาคลอดลูกออกมา แต่ไม่มีปัญญาหาเลี้ยงหรอก” วันนี้จึงร้องขอความช่วยเหลือกับสื่อฯ อยากให้แม่สามีชี้แจงว่าทำไมถึงไม่ยอมให้ลูกมาอยู่กับตน และหากเป็นไปได้ตนอยากรับลูกมาอยู่ด้วยที่ จ.เชียงราย ยืนยันว่าแม้จะเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวก็สามารถเลี้ยงดูได้ไม่ปล่อยให้ลูกอดตายแน่นอน แต่หากมันเป็นไปได้ยากตนก็แค่ขอโอกาสเข้าไปเยี่ยมลูกได้ทุกเมื่อโดยไม่ถูกกีดกันจากแม่สามี มองว่าตนเป็นแม่ที่ให้กำเนิดลูก 2 คน ก็ควรมีสิทธิ์ที่จะได้เจอลูก เพราะที่ผ่านมาน้อยมากที่ตนจะมีโอกาสได้คุยกับลูก ขนาดวันเกิดของลูกตนโอนเงินให้พี่สะใภ้ซื้อเค้กมาฉลองให้ลูกก็กลับถูกแม่สามีกีดกัน ไม่ให้ลูกกินเค้กที่ตนฝากซื้อ ตนส่งเสื้อผ้าไปให้ลูก แม่สามีก็ไม่ยอมให้ลูกใส่ ไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งหรือเอาไปไหน

ตอนนี้ตนคิดถึงลูกมาก ทุกครั้งที่พยายามจะเห็นหน้าลูกก็ต้องแอบให้พี่สะใภ้พาลูกออกมาจากบ้านแม่สามีแล้ววิดีโอคอลคุยกัน ซึ่งลูกทั้ง 2 คน ก็บอกกับตนว่า “แม่ เราอย่าคุยกันเสียงดังนะ เดี๋ยวน่าจะได้ยิน เดี๋ยวย่าจะด่า เพราะย่าไม่ให้พวกหนูคุยกับแม่” และบางครั้งลูกก็แอบขอโทรศัพท์พี่สะใภ้มาโทรหาตน บอกว่า “เมื่อไหร่แม่จะมารับหนู หนูไม่อยากอยู่กับย่าแล้ว ย่าชอบตี” ซึ่งคนเป็นแม่อย่างตนเมื่อได้ยินอะไรแบบนี้ก็สะเทือนใจมาก

อยากจะฝากบอกแม่สามีว่า “หนูไม่ได้เกลียดแม่ เพราะแม่ก็เป็นแม่คนนึง ไม่เคยคิดมองข้าม แค่อยากให้เข้าใจว่าถ้าเด็ก 2 คน เป็นลูกของแม่ แม่ก็คงรักลูกเหมือนที่หนูรัก ดังนั้นแม่ไม่ควรจะทำแบบนี้กับหนู ถ้าแม่เป็นหนูเชื่อว่าแม่ก็คงคิดถึงลูกเหมือนกัน ส่วนเรื่องชีวิตคู่ระหว่างหนูกับลูกของแม่ อยากให้แม่ลองนึกดูเพราะที่ผ่านมาสามีของแม่ก็ไปมีเมียน้อย เพราะฉะนั้นความเจ็บปวดที่หนูต้องเจอ ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่แม่เคยผ่านมา” กับลูกชาย 2 คน ซึ่งตนไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้เจออีกเมื่อไหร่ จึงอยากจะบอกผ่านสื่อตรงนี้ว่า “แม่รักหนูมาก คิดถึงลูก” ส่วนกับสามีตนไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว

107597

ด้าน “นางเรีย สุนันทสิทธิ์” แม่ของ “นายมอส” (นามสมมติ) ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเป็นภาษาม้งด้วย โดยมีลูกสาวอีกคนคอยแปลไทยให้ เจ้าตัวยืนยันว่าเหตุการณ์ในคลิป ตนไม่มีเจตนาจะกัดกันไม่ให้ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ไปนอนกับลูก แค่จะเอาหลานมาอาบน้ำในบ้าน แล้วตนก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าย น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ด้วย เพราะตอนนั้นตนแค่ยกมือขึ้น ทำท่าจะตีปากเขา แต่ยังไม่ทันได้ตีเขาก็เอามือมาปัดเสียก่อน

ส่วนถ้าถามว่าจะยอมยกหลานให้ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ไหม ตนบอกว่าให้เป็นการตัดสินใจของของลูกชายกับอดีตลูกสะใภ้ดีกว่า แต่ถ้าเอาความคิดส่วนตัวคือไม่อยากให้ เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ แต่ถ้าจะมาหาหลาน มาพาไปเที่ยว ไปซื้อของ ตนก็ไม่ห้าม และอยากจะบอกกับ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ว่า ตอนนี้ให้เด็กอยู่นี่ก่อนไว้โตขึ้นแล้วค่อยให้เขาไปเยี่ยมเอง ตนไม่ได้กีดกันอยู่แล้ว

แล้วที่ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) บอกว่าตนไม่ยอมให้หลานกินเค้กที่เขาฝากซื้อ ไม่ยอมให้ใช้เสื้อผ้าที่เขาซื้อส่งมาให้นั้น ตนยืนยันว่าไม่จริง ที่ผ่านมาให้กินเค้กของเขาจนหมดตลอด เสื้อผ้าก็ให้ใส่ ไม่เคยเอาไปทิ้ง หรือเวลาโอนเงินมาก็เอาไปซื้อของมาให้หลานหมด

546781

ต่อมาทางครอบครัวฝ่ายชายก็ได้ต่อสายโทรศัพท์ให้ทีมข่าวคุยกับ “นายมอส” (นามสมมติ) ผ่านทางเฟซบุ๊ก เนื่องจากเจ้าตัวอยู่เกาหลีและกำลังทำงานไม่สะดวกวิดีโอคอล ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้กีดกันหรือไล่ให้ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ออกจากบ้านเลย แต่ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ต่างหากที่หอบลูกกลับบ้านที่ จ.เพชรบูรณ์ เอง เพราะไม่พอใจแม่ของตนเป็นการส่วนตัว บวกกับไม่พอใจที่ตนส่งเงินให้แค่เดือนละ 10,000 บาท เนื่องจากเขาต้องการเดือนละ 40,000 บาท ซึ่งตนมองว่ามันเยอะไป เพราะแค่ดูแลลูกอยู่บ้าน อีกอย่างคือตนตั้งใจจะเก็บเงินไว้ซื้อรถยนต์สำหรับไว้ใช้กับครอบครัวเมื่อกลับมาอยู่ไทยแต่เขาไม่ยอม แล้วปัจจุบันตนไม่เคยปล่อยปะละเลยลูกส่งเงินให้ที่บ้านตลอด อย่างน้อย ๆ เดือนละ 50,000-60,000 บาท รวมกับหนี้สินที่ต้องชำระ

ส่วนกรณีที่ว่าตนไปมีแฟนใหม่อยู่ที่เกาหลีนั้นยืนยันว่าไม่จริง เพียงแค่ในที่ทำงานมันมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายทุกคนสนิทสนมกัน จึงอาจจะเกิดความเข้าใจผิด กลับกันคนที่มีชู้จริง ๆ แล้วคือ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) เพราะหลังเหตุการณ์แรกต้นปี 63 ที่มีผู้หญิงมาบอกกับครอบครัวตนว่า น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ไปเล่นชู้กับสามีเขา ตนก็เริ่มไม่ไว้ใจทำให้ช่วงกลางปี 63 ตนลองเข้าไปดูในแชตของ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ซึ่งตนมีรหัสผ่าน

ก็พบว่าเมื่อประมาณกลางปี 62 น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) มีการแชตนัดเจอกับผู้ชายมีอายุคนนึงซึ่งเป็นผู้สมัครการเมืองท้องถิ่นใน จ.เพชรบูรณ์ โดยเวลาคุยกันจะแทนตัวเองว่า “พ่อ” แล้วแทนอดีตภรรยาตนว่า “ลูก” คาดว่าคงไม่ให้ใครผิดสังเกต แต่ข้อความที่คุยกันมันเป็นไปในเชิงชู้สาว มีการบอกคิดถึง แล้วพยายามนัดเจอกันที่ป่ายูคาลิปตัส ก่อนฝ่ายหญิงจะเปลี่ยนใจให้มาหาที่บ้าน หลังจากลูก 2 คน หลับ แล้วเน้นย้ำว่ามีเวลาว่างแค่ 10 นาที

ซึ่งตอนนั้นที่ตนจับได้ก็ไปบอกแม่ยายหรือแม่ของ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) แต่กลับโดนแม่ยายเรียกค่าเสียหาย บอกว่าตนไปกล่าวหาลูกสาวเขา ทั้ง ๆ ที่ลูกสาวเขาอยู่บ้านตลอดไม่เคยไปไหนเลย และบอกว่าหลักฐานแชทที่ตนให้ดูไม่ใช่ของจริง เพราะฉะนั้นการที่ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) ต้องการจะเอาลูกทั้ง 2 คน ไปเลี้ยงที่ จ.เพชรบูรณ์ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ตนไม่ยินยอมเด็ดขาด เพราะพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ไปมั่วกับผู้ชายอื่นที่มีเจ้าของแล้วนิสัยแย่มาก ยิ่งเวลาที่ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) มาเยี่ยมลูกก็กลับกลายเป็นมาสร้างปัญหา ทะเลาะกับแม่ของตนต่อหน้าลูกอีก แม่ตนต้องร้องไห้ ลูกตนต้องร้องไห้ ดังนั้นตอนนี้ตนขอบอกเลยว่าจะไม่ให้ น.ส.เตือนใจ (นามสมมติ) มาเยี่ยมลูกอีก

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส