กรมวิทย์ฯ เผย คนที่ได้รับวัคซีนฝีดาษเกิน 40 ปี ส่วนสใหญ่มีภูมิไม่พอป้องกัน "ฝีดาษลิง"

5 ก.ย. 65

กรมวิทย์ฯ เผยผลศึกษาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ "ฝีดาษลิง" ในคนที่ได้รับวัคซีนป้องกันมากกว่า 40 ปี พบส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันไม่อยู่ในระดับป้องกันโรค

วันนี้ (5 กันยายน 2565) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ แถลงข่าว "ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง (Monkeypox)" สายพันธุ์ B.1 และ A.2 จำนวน 30 คน พบว่า ส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกัน ไม่ขึ้นในระดับป้องกันโรค มีเพียง 2 รายมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวว่า โรคฝีดาษลิง หรือฝีดาษวานร (Monkeypox) พบครั้งแรกในลิง เมื่อปี พ.ศ. 2501 จากนั้นได้เริ่มมีการรายงานพบการระบาดในคน ปี พ.ศ.2513 ซึ่งประมาณร้อยละ 70 เป็นการแพร่กระจายจากสัตว์สู่คน และกลายเป็นโรคประจำถิ่นแถบประเทศแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ต่อมาในปี พ.ศ.2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานว่าพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อฝีดาษวานร จำนวน 4,594 ราย เสียชีวิต 171 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.7 และมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งวันที่ 23 กรกฎาคม 2565 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 กันยายน 2565 ผู้ป่วยยืนยัน 50,327 ราย ตาย 15 ราย โดยพบใน 100 ประเทศ ในขณะที่มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษคนสามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ร้อยละ 85 ดังนั้นจึงมีคำถามว่าคนไทยที่รับวัคซีนฝีดาษเมื่อ 40 ปีก่อน จะมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้หรือไม่

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้นำซีรั่มจากอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนโรคฝีดาษคนมานานกว่า 40 ปี จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มอายุ 45-54, 55-64 และ 65-74 ปี มาหาระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อฝีดาษวานร สายพันธุ์ B.1 (พบในยุโรป) และ A.2 (พบในแอฟริกา) ที่แยกได้จากผู้ติดเชื้อที่พบในประเทศไทย มาทดสอบโดยวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน เพื่อหาค่าที่ไวรัสฝีดาษวานรเชื้อเป็นถูกทำลายได้ครึ่งหนึ่ง หรือที่เรียกว่า PRNT Titer 50%, PRNT50 โดยภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนฝีดาษคน ซึ่งระดับแอนติบอดี titer มากกว่าหรือเท่ากับ 32 (PRNT50 ≥ 32) ถือว่าคนนั้นมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้

ซึ่งผลการทดสอบ พบว่า ในอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนฝีดาษมานานกว่า 40 ปี จำนวน 28 ราย ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสฝีดาษวานรทั้ง 2 สายพันธุ์ มีเพียง 2 ราย ที่พบมีระดับภูมิคุ้มกันมากกว่า 32 (PRNT50 titer>32) ที่สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสฝีดาษวานรได้ ในจำนวนนี้พบ 1 รายมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ A.2 และอีก 1 รายมีภูมิคุ้มกันต่อทั้ง 2 สายพันธุ์ สรุปได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษเมื่อ 40 ปีก่อน ไม่มีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวต่ออีกว่า ในเรื่องของวัคซีนนั้น หากมีวัคซีนเข้ามาจะใช้ 2 กรณี คือ กลุ่มเสี่ยงมาก เช่น เจ้าหน้าที่ห้องแลป, คนสัมผัสใกล้ชิด และกลุ่มเสี่ยงที่มีประวัติไปสัมผัสโรคก็อาจฉีดให้ เพื่อลดความรุนแรงของโรค หากถามว่าจำเป็นต้องนำมาฉีดกับคนทั่วไปไหม ขณะนี้ยังไม่จำเป็น เนื่องจาก ขณะนี้สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดส่วนใหญ่ เป็น BA.2 ซึ่งไม่ใช่สายพันธุ์รุนแรง ยกเว้นคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน หรือคนที่เป็นโรคบางอย่างที่ทำให้ภูมิคุ้มกันน้อย รวมทั้งเด็กเล็ก

อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำว่าโรคฝีดาษวานรไม่ได้ติดต่อกันง่าย ส่วนใหญ่ติดต่อจากการสัมผัสผื่นผู้ป่วยทางผิวหนังโดยตรงหรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย หลีกเลี่ยงมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงหรือคู่นอนที่ไม่รู้จัก ทั้งนี้ในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่รุนแรง หายเองได้ แต่จะมีอาการรุนแรงได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและในเด็กเล็ก ดังนั้นมาตรการล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง สามารถนำมาใช้ในการป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ ปัจจุบันประเทศอเมริกาและยุโรป ได้ให้การรับรองวัคซีนจีนนีออส (JYNNEOS) เพื่อนำมาใช้ป้องกันโรคฝีดาษลิงในกรณีฉุกเฉินแล้ว ส่วนประเทศไทยได้มีการนำเข้าวัคซีนดังกล่าวจากประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับป้องกันโรคในกลุ่มที่มีความเสี่ยงแล้วจำนวน 1,000 โดส

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส