จากรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุอุกอาจกราดยิงกัน บริเวณถนนเส้นเจดีย์วัดพนัญเชิงหมู่ 3 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะสีขาวตอนเดียว ซึ่งเป็นรถส่งน้ำแข็งของโรงน้ำแข็งอโยธยา อยู่ในสภาพด้านหน้ารถถูกชนเสียหาย
ใกล้กันพบรถกระบะยี่ป้ายแดงจอดอยู่ พบชายวัยรุ่ย 4 คนนั่งอยู่ในรถ เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้นพบอาวุธ และควบคุมตัวไว้ ทราบว่าเป็นคนงานของโรงน้ำแข็งพันล้านพระนครศรีอยุธยา
วันที่ 9 ส.ค. 65 นายพนรัตน์ มีสุขเจริญชัย อายุ 27 ปี เจ้าของโรงน้ำแข็งพันล้าน เปิดใจว่า ธุรกิจโรงน้ำแข็งพันล้าน เพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 1 เดือนกว่า ซึ่งเป็นน้องใหม่ กำลังทำการตลาดในพื้นที่ โดยตั้งใจให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของลูกค้า เพราะราคาขายกระสอบละ 40 บาทเท่ากัน และการทำการตลาดก็ไม่เคยไปกดราคาใคร หรือไปอวดอ้างว่าของตัวเองดีกว่า
วันที่ 4 ส.ค.65 ที่ผ่านมา ลูกน้องตนฝ่ายขายเข้าพื้นที่ไปคุยกับลูกค้า มีฝั่งโรงน้ำแข็งอโยธยามาเห็น แล้วน่าจะมีการประสานไปยังผู้ใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งลูกน้องตนโทรมาบอกว่ามีชายฉกรรจ์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่การปกครอง ขับรถสีดำมาแล้วมาบอกว่าอย่าเข้ามาในพื้นที่นี้ มีการเอาปืนเข้ามาขู่ และมีการทำร้ายร่างกายลูกน้องของตน โดนต่อยหน้า วันที่ 6 ส.ค.65 ตนจึงเข้าแจ้งความกับทางเจ้าหน้าตำรวจ ซึ่งยอมรับว่าพนักงานทุกคนขวัญเสีย
จากนั้นวันที่ 8 ส.ค.65 วันเกิดเหตุลูกน้องเสียขวัญกำลังใจ จึงเดินทางไปด้วยนั่งรถกันไป 4 คน มีนายบี เป็นคนขับ ตนนั่งข้ามคนขับ และมีทีมงานอีก 2 คน นายโต้ง และนายอาร์ม นั่งท้าย ซึ่งยอมรับว่าต้องพกปืนเพราะกลัวเรื่องของความปลอดภัยกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะตนก็ไม่รู้ว่าชายที่อ้างตัวเป็นกรมการปกครองเป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือไม่
ซึ่งก่อนเกิดเหตุ ลูกน้องของตนก็เข้าไปในพื้นที่ แต่ถูกกลุ่มโรงน้ำแข็งอโยธยาปิดล้อมกันหลายคน ตนก็กำลังจะเข้าไปหา แต่ถูกรถตู้โฟคสีดำขับรถตาม คาดว่าน่าจะเป็นคันเดียวกัน จังหวะที่ตนเปิดซันรูฟ ตนใช้มือถือชูขึ้นไปถ่ายคลิป ไม่ได้ชูปืนขึ้นไปโชว์ตามที่กำนันอ้าง ซึ่งตนอยากจะเปิดให้ดูมาก ๆ แต่มือถือตอนนั้นตำรวจยึดไว้เป็นของกลาง และยังไม่ให้คืน จังหวะที่ขับมาถึงที่เกิดเหตุ มีรถกระบะตอนเดียวขับตัดเข้ามาชนประสานงากับตนจัง ๆ ทำให้นายโต้งวิ่งหนีคนแรก และนายอาร์ม วิ่งหนีคนที่ 2 ซึ่งถูกยิงที่น่องขา ซึ่งพักรักษาตัวอยู่ ส่วนตนวิ่งลงคนที่ 3 ซึ่งได้รับอาการบาดเจ็บ มีรอยถลอกเล็กน้อย จากการวิ่งหนีตาย ซึ่งตนมีปืนจริง 2 กระบอก แต่ไม่ได้ยิงไปทางกำนันเลย
ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเสียกำลังใจมาก ใจจริงอยากจะพูดคุยกับคู่กรณี เพื่อปรับความเข้าใจ และอยากจะขอโอกาสให้ตนและทีมงานได้มีงานทำ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำรองให้ลูกค้าเป็นคนเลือก ตอนนี้ตนได้รับผลกระทบเต็ม ๆ คือลูกน้องก็ไม่กล้าไปทำงาน คนอื่นก็ไม่กล้ามาสมัครงาน การที่จะมาแบ่งเขตและข้อจำกัดในการค้าขาย ตนมองว่ามันไม่ยุติธรรม และไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่าจะใช้ความรุนแรง แต่กรณีที่ทางกำนันใช้วิธีการยิงแบบนั้น ก็มองว่าเกินเหตุ เพราะมันสามารถทำให้ตายได้ ส่วนเรื่องอาวุธปืน 4 กระบอกในรถกระบะคันสีดำ ไม่เกี่ยวกับตน
ทางด้าน พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เดินทางมาพร้อมกับกรมการปกครอง, เจ้าหน้าที่จากอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา, สาธารณะสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าตรวจสอบมาตรฐานโรงงานน้ำแข็งอโยธยา ทั้งด้านการผลิต และอุปกรณ์ในการผลิต
พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางเข้าตรวจสอบสภาพของโรงงานน้ำแข็งทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุยิง ซึ่งได้รับมาตรฐานดีในเรื่องของคุณภาพทุกอย่าง โรงงานน้ำแข็งแต่ละพื้นที่มีการขออนุญาตในเรื่องของการขอจัดตั้งสถานประกอบการ มีการจดทะเบียนการค้าในเรื่องของอุตสาหกรรมจังหวัดตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเรื่องปมสาเหตุ ก็เป็นไปตามที่ท่านผู้การจังหวัดได้แถลงไปเมื่อวาน ซึ่งตอนนี้ตำรวจได้มีการแจ้งข้อหา ทั้ง 3 ฝ่าย ฝ่ายโรงน้ำแข็งอโยธยา ฝ่ายโรงน้ำแข็งพันล้าน ฝ่ายกรมการปกครอง รวม 3 ข้อหา 1.ร่วมการสร้างความชุลมุน 2.ใช้อาวุธปืนในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร 3.พยามฆ่า ซึ่งทั้งหมดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขยายผลและสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแบ่งกำลังกันเข้าไปปฏิบัติการตรวจค้นจุดต่าง ๆ ทั้งหมด 19 จุด ทั้งในเขตพื้นที่จังหวัดอยุธยา และจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรอผลรายงานการตรวจค้น
จากการสอบสวน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทางกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ทั้ง 3 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบความเชื่อมโยงในการร่วมกันกระทำความผิดในการก่อเหตุ และได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเบื้องต้น ส่วนจะทำไปเพราะหน้าที่หรือไม่ ให้ในส่วนของกรมการปกครอง หรือนายอำเภอ เป็นผู้ดำเนินการต่ออีกส่วน
คุณปุ้ย ผู้ดูแลกิจการโรงน้ำแข็งอโยธยา บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปมสาเหตุไม่น่าจะมาจากการแย่งลูกค้า เพราะที่โรงงานน้ำแข็งอโยธยา มีฐานลูกค้าประจำเยอะมาก ลำพังทุกวันนี้ก็แทบจะผลิตส่งไม่ทัน ซึ่งจากกระแสที่บอกว่า ทางโรงน้ำแข็งพันล้าน มีการทำการตลาดด้วยการเอาถังน้ำแข็งมาลงแย่งลูกค้าหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบข้อมูลนี้ โดยเฉพาะวันที่ 4 ส.ค.65 ที่อ้างว่าเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันนั้น ทางบริษัทก็ไม่ทราบเรื่อง และมองว่านี่เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่พนักงานส่งน้ำแข็ง เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ซึ่งพนักงานเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ เราก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด เพราะก็ไม่ได้ออกไปส่งน้ำแข็งด้วย
ทางพนักงานเขาก็ไม่ได้รายงานทางบริษัท ซึ่งตนจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกทาง ซึ่งจะมีการตักเตือน อบรมและกำชับพนักงานอีกครั้ง และปรึกษาเจ้าของโรงน้ำแข็งที่อยู่ต่างประเทศในการหาแนวทาง ในส่วนประเด็นที่ว่ากำนันตำบลเกาะเรียน มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทางโรงน้ำแข็งอยุธยานั้น ตนยืนยันได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน100% ซึ่งเจ้าของตัวจริงของโรงน้ำแข็งอโยธยานั้น เขาอาศัยอยู่เมืองนอก ไม่ค่อยกลับมาประเทศไทยเท่าไร และก็ยังไม่ทราบเรื่องราวทั้งหมด
ในส่วนประเด็นที่มีคนเห็นว่า ทางกำนันตำบลเกาะเรียนนั้น มักมาร่วมกิจกรรมแจกของกับทางโรงน้ำแข็งอโยธยานั้น อาจจะเป็นเพราะว่า กำนันเขาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ที่ต้องคอยดูแลลูกบ้าน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้จักสนิทกับทางน้ำแข็งอโยธยาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ จากการให้สัมภาษณ์ของทางกำนันตำบลเกาะเรียนก่อนหน้านี้ที่ว่ามีลูกหลานของกำนันมาทำงานที่โรงงานน้ำแข็งอโยธยานั้น จากการตรวจสอบไม่พบว่า พนักงานเป็นคนรู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำนันแต่อย่างใด หลังจากนี้จะมีการเรียกอบรมทำความเข้าใจกับพนักงานในเรื่องของการทำงานให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
