ค่าย EXP แต่งตั้ง "ทนายนิด้า" สู้ "ทนายตั้ม" คดี พอร์ส Yes indeed band

20 ก.ค. 65

หลังจาก "ทนายตั้ม" พร้อม "พอร์สYes indeed band" เปิดใจกรณียกเลิกสัญญาค่ายเพลง เผยรายละเอียดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 ลั่นน้องพอร์สเป็นศิลปินอิสระแล้ว ด้านค่ายเพลง โพสต์โต้กลับทันที ลั่นใส่ความเท็จในการแถลงข่าว ทำให้ค่ายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่งตั้ง "ทนายนิด้า" ขึ้นสู้พร้อมตั้งโต๊ะแถลงวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคมนี้!!

 

โดยวันนี้ 20 ก.ค. 2565 "ทนายตั้ม" หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด พร้อมด้วย "พอร์ส นรากร" หรือ "พอร์สYes indeed band" จัดแถลงข่าว เปิดใจกรณียกเลิกสัญญาค่ายเพลง

 

นอกจากนี้ "ทนายตั้ม" ได้โพสต์เฟซบุ๊กหลังแถลงข่าวว่า "น้องพอร์สมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้องอาชีพ จึงออกตามความฝันโดยไปร้องเพลงเปิดหมวกกับ แพนเค้กน้องสาว ที่เอเชียทรีคบ้าง เยาวราชบ้าง สยามสแคว์ และจตุจักร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ก็ร้องมาเรื่อยๆ จากคนดูแค่คนสองคน จนคนเริ่มเยอะขึ้น จนมีแฟนคลับจำนวนนึงจัดงานมิตติ้งให้เมื่อประมาณ กุมภาพันธ์ 2564"

 

"ต่อมาเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2564 น้าชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ ได้มาบอกว่า มีเพื่อนทำค่ายเพลง จึงชวนให้ไปออดิชั่น ประมาณ 1 อาทิตย์ต่อมา ทางค่ายได้โทรมาบอกให้น้องพอร์สให้เข้ามาเซ็นสัญญา น้องก็เอาสัญญาไปปรึกษาครอบครัวให้รอบครอบก่อน หลังจากนั้นคุณพ่อได้มีการพูดคุยกับทางค่าย ค่ายได้รับปากว่าจะปั้นน้องให้เป็นศิลปิน ส่งเสริมดูแลภาพลักษณ์ หาครูมาสอนน้องให้ร้องเพลงให้ดีขึ้น ซึ่งในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่น้องพอร์สจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ทางค่ายรับปากว่าจะดูแลและหามหาวิทยาลัยที่เหมาะสม น้องสามารถทำกิจกรรมที่รักและเรียนไปได้ควบคู่กัน คุณพ่อและน้องจึงตัดสินใจให้น้องเซนสัญญา ฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2564 หลังจากนั้นประมาณ 7-8 วันทางค่ายได้ให้น้องไปถ่าย shooting เพื่อเก็บเอาไว้เป็นโปรไฟล์"

 

"หลังจากนั้น ทางค่ายได้ทำช่องยูทูบขึ้นมาช่องหนึ่ง เพื่อโปรโมทสินค้าของทางค่าย หรือไม่ก็รับรีวิวสินค้าคนอื่น โดยน้องพอร์สถ่ายกับเพื่อน รวม 3 คน ครั้งหนึ่งถ่าย 2-3เทป โดยให้ค่าจ้างต่อครั้งที่มา 1,000-1,500 บาท และค่ายเห็นว่าน้องพอร์สมี Tiktok ที่มีคนติดตามเกือบ 1 แสนคน แต่ Tiktok ของค่ายมีคนติดตามแค่หลักหมื่น จึงให้น้องพอร์ส collab ทั้ง 2 ช่อง เพื่อให้คนติดตาม Tiktok ของทางค่ายเพิ่มขึ้น โดยแต่ละครั้งที่ให้น้องช่วยโปรโมทใน Tiktok น้องไม่เคยได้ค่าตัว ได้แต่บอกว่าให้ทำเพื่อค่ายไปก่อน เดี๋ยวหากมีรายได้เข้ามาค่อยว่ากัน"

 

"ตลอดระยะเวลาหลายเดือนหลังจากทำสัญญากับค่าย ทางค่ายไม่เคยให้คนมาเทรนการร้องเพลง หรือดูแลบุคลิกภาพ การแสดงต่างๆ และไม่ได้มีการประสานกับมหาวิทยาลัยซักที่เดียวตามที่ได้มีการตกลง ในตอนนั้นน้องพอร์ส เริ่มท้อ หมดหวัง และคิดว่าตนคงจะไม่มีโอกาสเป็นนักร้องอาชีพ" 

 

"แถมทางค่ายยังได้พยายามให้น้องถ่ายคลิปนุ่งกางเกงในบ็อกเซอร์ จนทางบ้านเริ่มรับไม่ได้ คุณพ่อจึงเริ่มไปคุยกับทางค่ายเรื่องยกเลิกสัญญา โดยบอกว่าลูกของตนจะไปร้องเพลงเปิดหมวกกับเพื่อนๆ แต่ทางค่ายไม่ยอมโดยอ้างปากเปล่าว่า น้องสามารถไปเล่นเปิดหมวกได้ โดยทางค่ายจะไม่ยุ่งกับรายได้ของน้องเพราะถือว่าเป็นความสามารถของน้องเอง"

 

"ระหว่างนั้นคุณพ่อก็พยายามเข้าไปคุยกับค่ายเพื่อขอยกเลิกสัญญารวม 6 ครั้งแต่ค่ายก็ปฎิเสธเช่นเดิม ซึ่งนับตั้งแต่น้องพอร์สทำสัญญากับค่ายตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2564 จนถึงปลายพฤษภาคม 2565 ทางค่ายไม่เคยโปรโมทน้องในช่องทางไอจี หรือเฟซบุ๊กเลย มีแต่ให้ถ่ายคลิปรีวิวสินค้าของค่าย โดยให้ค่าจ้างถ่ายครั้งละไม่เกิน 1,500 บาท"


"ขณะที่ครอบครัวน้องพอร์สพยายามคุยกับทางค่ายเพื่อยกเลิกสัญญา น้องพอร์สกับเพื่อนก็พยายามทำตามความฝันของตัวเอง เล่นเพลงเปิดหมวกไปเรื่อยๆ จากมีแค่แพนเค้ก ก็มีสมาชิกในวงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมังกร ทะเล และน้องติน น้องคนเล็กสุด รวมกันในชื่อวง Yes Indeed Band น้องพอร์สกับเพื่อนเล่นไปเรื่อยๆ จนมีฐานแฟนคลับมากขึ้นทุกวัน จนวันที่ 3 มิถุนายน 2565 เป็นวันที่คนแน่นที่สุด เป็นปรากฎการณ์ที่ถนนทุกสายรอบๆ สยามสแคว์ติด จนนักข่าวไปทำข่าวแล้วเรียกคืนนั้นว่า วันสยามแตก สื่อทุกสื่อให้ความสนใจแก๊งมัธยมเปิดหมวกวงนี้ มีนักร้องรุ่นใหญ่หลายคนมาร่วมร้องเพลงด้วย หลังจากวันที่ 3 มิถุนายน 2565 ค่าย เริ่มแชร์ข่าว และโพสเรื่องพอร์ส ในช่องทางของตน โดยแจ้งกับสื่อหลายๆ สำนักว่าเป็นศิลปินของค่ายตน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึงพอร์สมาก่อน"

 

"ก่อนหน้านี้มีนักร้องรุ่นใหญ่แต่งเพลงให้พอร์สแต่ทางค่ายก็ไม่เอาด้วย แต่หลังจากเป็นข่าวดังทางค่ายโทรกลับไปหานักร้องคนดังกล่าวว่าตกลงเอาเพลงนั้นให้พอร์สร้อง"

 

"ทางค่ายรู้ดีว่าคุณพ่อน้องพอร์สพยายามจะยกเลิกสัญญา โดยทุกครั้งคุณพ่อจะบอกว่าเพราะทางค่ายไม่เคยส่งเสริม หรือต้องการปั้นพอร์สจริง ทางค่ายจึงเอารูปที่เคยถ่าย shooting เมื่อเดือน มิถุนายน 2564 หรือประมาณ 1 ปีที่แล้ว มาลงโปรโมทว่าพอร์สคือศิลปินคนต่อไปของค่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เพื่อจะได้บอกสื่อว่าตนได้เตรียมให้พอร์สเป็นศิลปินของค่ายและมีค่าใช้จ่ายมาเยอะแล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย จริงๆ แล้วค่ายไม่เคยส่งเสริมหรือฝึกฝนน้องพอร์สเพื่อเป็นศิลปินแต่อย่างใด แม้แต่ตอนน้องไปร้องเพลงเปิดหมวก หรือทำกิจกรรมดนตรีให้ทางค่าย หรือออกงานในนามของค่าย ค่ายไม่เคยสนับสนุนอุปกรณ์ดนตรี หรือเครื่องแต่งกายใดๆให้พอร์ส สิ่งที่ค่ายมักจะทำคือให้น้องพอร์สถ่ายสินค้าให้กับทางค่ายโดยแลกกับเงินเพียงน้อยนิด"


"หลังจากนั้นค่ายได้โทรไปหาสปอนเซอร์ หรือผู้สนับสนุนของวงทุกคนอ้างว่า พอร์สมีสัญญากับทางค่าย จะติดต่องานอะไรก็แล้วแต่จะต้องผ่านค่าย และจะเก็บเปอร์เซ็นต์ทุกงานที่เกี่ยวข้องกับพอร์ส โดยเคยไปเก็บเงินห้างหนึ่งเป็นจำนวน 30,000 บาท"

 

"หลังจากนั้นน้องพอร์ส เพื่อนๆ ในวงและครอบครัวได้มาหาผม ผมได้ตรวจสอบสัญญาที่ค่าย ทำกับน้องพอร์สแล้ว คือสัญญาฉบับนี้ทำขณะที่พอร์สเป็นผู้เยาว์ จึงต้องได้รับความยินยอมจากคุณพ่อน้องก่อน เมื่อดูสัญญานี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สัญญานี้ส่วนใหญ่ให้สิทธิและประโยชน์กับค่าย แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้มีระบุเลยว่าทางค่าย จะต้องให้สิทธิและประโยชน์กับน้องพอร์ส เท่าไหร่ หรือเมื่อใด น้องพอร์สจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะมีรายได้ยังไง เลยไม่สามารถเรียกร้องให้ค่ายจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ให้กับน้องพอร์สได้ เพราะในสัญญาไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าค่ายจะต้องจัดหางาน หรือจ่ายเงินเมื่อใด ผมถือว่าสัญญานี้มีแต่ให้ผลประโยชน์กับค่ายเพียงฝ่ายเดียว"

 

"แต่ในทางกลับกัน ค่ายกลับได้ประโยชน์จากน้องพอร์ส นับตั้งแต่เซ็นสัญญา สัญญาลักษณะนี้จึงเข้าลักษณะของสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อสัญญานี้มีลักษณะจำกัดสิทธิ ปิดกั้นโอกาส ทำให้น้องพอร์สเกิดความยากลำบากในการรับงานต่างๆ ที่ตนเองจะมีรายได้ และที่สำคัญการที่น้องพอร์ส และเพื่อนๆโด่งดังขึ้นมาได้ ไม่ได้เกิดจากผลงานของทางค่าย แต่เกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของน้องพอร์สทั้งสิ้น"

 

"และการที่ค่ายออกมาอ้างถึงข้อสัญญาต่างๆ จึงมีลักษณะเอาเปรียบเด็ก และมีเจตนาที่จะมุ่งแต่ขอส่วนแบ่งรายได้ของน้องพอร์สเป็นหลัก จึงทำให้น้องพอร์สซึ่งเป็นผู้เยาว์นั้น เสียหาย เสื่อมเสีย เสียโอกาส และเสียรายได้ รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการเจริญก้าวหน้าในอาชีพนักดนตรี จึงเข้าลักษณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 27 วรรค 3 ที่คุณพ่อซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมสามารถบอกเลิกความยินยอมในการที่ผู้เยาว์ทำสัญญาได้"

 

"และผมได้ทำหนังสือไปถึงค่ายเพลงดังกล่าว บอกเลิกความยินยอมไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และนับจากวันนี้หากค่ายมีการแถลงข่าว หรือให้ข่าว ในลักษณะทำให้น้องพอร์สเสียหาย สำนักงาน Sittra Law Firm จะดำเนินการทั้งทางแพ่งและอาญาจนถึงที่สุด"

ทนายตั้ม - พอร์ส Yes indeed band

 

ล่าสุด ค่าย EXP Entertainment โพสต์แถลงแต่งตั้ง "ทนายนิด้า" กรณีสัญญา "พอร์ส นรากร" หรือ "พอร์สYes indeed band"

 

"บริษัท EXP Entertainment ขอประกาศการแถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีที่ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด และน้องพอร์ส นรากร ในฐานะศิลปินภายใต้สังกัดของบริษัทฯ ได้จัดการแถลงข่าวในวันนี้ โดยมีข้อความพาดพิงบริษัทฯ ให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นอย่างมาก"

 

"เนื่องจากในการแถลงข่าวดังกล่าวมีข้อมูลที่เป็นการบิดเบือนความจริง ใส่ความเท็จในการแถลงข่าวส่งผลให้ทางบริษัทฯ เกิดภาพลักษณ์ในทางลบจนถูกประชาชนที่ได้ติดตามการแถลงข่าวดูหมิ่นเกลียดชังอยู่ในขณะนี้"

 

"ทางบริษัทฯ จึงขอประกาศเรียนเชิญพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่านเข้าร่วมฟังการแถลงข่าวในวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13.30 น. ที่บริษัท เอ็กซ์พีเรียนซ์ เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด พร้อมกับทนายนิด้า เพื่อชี้แจงข้อความจริงพร้อมหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการถูกกล่าวหาในวันนี้ทุกประการ วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13.30 น. ที่บริษัท EXP Entertainment"

 

ด้าน "ทนายนิด้า" ก็ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กของตนว่า "วันศุกร์ที่ 22 กค.65 เวลา 13.30 น. นิด้าจะเข้าร่วมกับค่าย EXP แถลงข่าวชี้แจงความจริงเกี่ยวกับ น้องพอร์ส นรากร วง yes indeed พร้อมเปิดเผยทุกหลักฐาน เท่าที่จะกระทบต่อน้องให้น้อยที่สุด ตรงประเด็นที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องชื่อเสียงของบริษัทฯ จากการตั้งโต๊ะแถลงข่าวในวันนี้ค่ะ "

พอร์ส Yes indeed band

ทนายนิด้า

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส